กันไว้ดีกว่าแก้ 13 สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ควรกิน

เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า

1. อาหารที่มีรสจัด
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย

2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อน
ในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น


3. อาหารที่กินแล้วท้องผูก
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน ควบคู่ไปกับอาหารหลัก 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม

4. อาหารที่กินแล้วแพ้
คุณแม่ที่รู้ตัวว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็อย่าเผลอรับประทานเข้าไปนะ ควรระมัดระวังการกินมากกว่าปกติ เพราะบางคนจะมีอาการแพ้มากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษ ทำให้มีการปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียนได้

5. อาหารสำเร็จรูป หรือ อาหารกระป๋อง
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปอย่างเด็ดขาด เพราะจะมีสารเคมีเจือปน หรือหากเลี่ยงไม่ได้ ควรอ่านฉลาก ดูวันหมดอายุ เช็คสภาพกระป๋องไม่บุบ ไม่บวม ก่อนซื้อมารับประทานทุกครั้ง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่รับประทานเข้าไปมีอะไรบ้าง บางอย่างเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมาก เช่น ผงชูรส ที่จะทำให้ร่างกายขาดน้ำและปวดศีรษะมาก

6. อาหารหมักดอง
แม้ว่าอาหารเหล่านี้จะช่วยให้คุณแม่ลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาหารหมักดองมีส่วนประกอบของเกลือและน้ำตาล หรือขัณฑสกรอยู่สูงจะส่งผลให้คุณแม่มีอาการบวมเพราะความเค็มที่มากขึ้น และวิธีการหมักดองที่ไม่สะอาดอาจเป็นเหตุทำให้คุณแม่ปวดท้อง ท้องเสีย หากรุนแรง ก็จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องได้

7. อาหารไขมันสูง
เป็นอีกหนึ่งตัวร้ายที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะถ้าทานเข้าไปแล้วจะย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง อึดอัด และน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นได้ง่าย

8. อาหารที่ไม่สุก อาหารดิบ
อาหารที่ปรุงไม่สุก คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกิน เช่น ไข่ดิบ ไข่ลวก แหนม เนื้อปลาดิบ ซูชิปลาดิบ สเต็กที่ไม่สุก ปลาแซลมอนรมควัน หอยนางรม รวมถึงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่อุ่นซ้ำผ่านความร้อนไม่ทั่วถึง

9. หลีกเลี่ยงผงชูรส
อาหารที่ดีไม่ควรใส่ผงชูรสเลย ผงชูรสทำมาจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาล และถูกสังเคราะห์จนกลายเป็นสาร “โมโนโซเดียม กลูตาเมต” (MSG) ซึ่งไม่มีคุณค่าทางอาหารแม้แต่น้อย เป็นสาเหตุของโรคร้าย เช่น ไตวาย ตับอักเสบ ฯลฯ ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ต้องบอกกับทางร้านว่าไม่ต้องใส่ผงชูรส เพื่อสุขภาพของแม่และที่สำคัญคือลูกน้อยในครรภ์

10. อาหารที่เพิ่มน้ำหนัก
นอกจากอาหารที่มีไขมันสูงแล้ว อีกหนึ่งประเภทอาหารประเภทของหวาน ขนมเค้ก หากรับประทานมากจนเกินไปจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและมีโอกาสเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อีก ไม่ถึงกับห้ามคุณแม่ไม่ให้กิน แต่ให้ลดปริมาณน้อยลงเนอะ หลังคลอดค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าจ้า

11. ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน
คุณแม่สมัยใหม่หลายคนมักจะติดการดื่มชาและกาแฟกันเป็นจำนวนมาก ถึงเวลาตัวเองตั้งครรภ์ก็จะลำบากหน่อย แต่เพื่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์แล้วคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการดื่มชาแก่ๆ จะทำให้ท้องผูกง่าย คนที่มีอาการท้องผูกอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง และยังมีชาบางชนิดที่ไม่ควรดื่ม เช่น ชาดอกคำฝอย เพราะชาชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อคุณแม่ ส่วนกาแฟนั้นดื่มมากเกินไปคุณแม่ใจสั่นแน่นอน และนอนไม่หลับอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งการพักผ่อนของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้างดได้ควรจะงดนะคะ

12. น้ำอัดลม
น้ำอัดลมช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ และมีน้ำตาลที่ช่วยเพิ่มพลังงาน แต่ในแง่ของคุณค่าทางอาหารนั้นไม่มีเลย ยิ่งดื่มมากๆ ก็ทำให้คุณแม่อ้วน แนะนำว่าควรหันมาดื่มน้ำสะอาด และน้ำผลไม้คั้นสดแทนจะมีประโยชน์มากกว่า

13. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เข้าใจว่าไลฟ์สไตล์คุณแม่สมัยใหม่บางคนจะต้องพบปะผู้คนมากมาย ทำให้มีงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ตลอด จำเป็นต้องมีการดื่มแอลกอฮอล์บ้าง แต่พอคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องงดอย่างเด็ดขาด เพราะการคิดแค่จะจิบเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้คุณแม่ติด และเผลอดื่มไม่รู้ตัว เพราะถ้าดื่มมากเกินไปก็ไม่ดีต่อลูก หรือดื่มจนติดเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ถือเป็นเรื่องอันตรายมากๆ เพราะอาจทำให้ลูกน้อยเสียชีวิตในครรภ์ หรือเมื่อคลอดออกมาแล้วมีน้ำหนักตัวน้อย เติบโตช้า ศีรษะเล็ก ใบหน้าเล็ก คางสั้น ปัญญาอ่อน และเกิดความพิการของหัวใจและหลอดเลือดได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้น้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนผ่านทางรกและสายสะดือได้น้อยลง จึงทำให้ทารกได้รับออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นต่างๆ ไม่เพียงพอ

นอกจากอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญ และมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์แล้ว คุณแม่ทั้งหลายก็อย่าลืมทำจิตใจให้ผ่องใส เบิกบาน ไม่เครียด แฮปปี้ตลอดเวลาด้วยนะ และถ้ามีเวลาว่างอีกนิดก็ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและลูกน้อยในครรภ์ด้วยจ้า…เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ทั้งหลายด้วยนะจ๊ะ

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]

อุ้มลูกบ่อยแค่ไหนถึงเรียกว่า “ลูกติดมือ”          ลูกติดมือ พฤติกรรมแบบนี้เกิดจากการอุ้มลูกบ่อย แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมเด็กถึงอยากให้อุ้ม เด็กแรกเกิด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก ช่วงนี้เด็กจะยังชินกับการอยู่ในท้องของคุณแม่ที่เคลื่อนไหวตลอด มีความอบอุ่น และได้ยินเสียงหัวใจเต้นของแม่ตลอดเวลา การอุ้ม การสัมผัส จะช่วยให้เด็กปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ หลังจากออกมาจากครรภ์ของแม่ เพราะการอุ้มเป็นการทำให้เค้ากลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงเหมือนอยู่ในครรภ์ของแม่ ทำให้เค้าหยุดร้องไห้ รู้สึกปลอดภัยจากการได้รับความอบอุ่นจากอ้อมอกพ่อแม่ จึงทำให้เด็กมักจะอยากให้พ่อแม่อุ้มอยู่บ่อยๆ           ซึ่งจากบทความของโรงพยาบาลเปาโลได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “ ช่วงเด็กทารกวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน จะเป็นวัยที่หากเขาต้องการสื่อสารอะไรกับคนอื่นก็จะใช้วิธีการร้องไห้เท่านั้น ซึ่งเมื่อร้องไห้คุณแม่หรือคนเลี้ยงส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าไปอุ้ม ซึ่งจริง ๆ การอุ้มเด็กในวัยนี้ยังไม่เป็นการตามใจจนทำให้เขาติดมือได้ แต่ความจริงการอุ้มยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เด็กรู้สึกผูกพันกับคุณแม่หรือคนที่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นใจว่ามีคนคอยดูแลเขา ทำให้เขาหายกลัวหายกังวล และเมื่อเขารู้สึกเช่นนี้พออายุมากขึ้นเขาก็จะร้องไห้น้อยลงไปเรื่อย ๆ และทำให้เขาเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดีไม่เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ หรือคนเลี้ยงจนเกินไป เพราะฉะนั้นการอุ้มเด็กในวัยนี้ยังไม่ทำให้เกิดอาการติดมือ “           เพราะฉะนั้นในช่วง 6 เดือนแรก […]

ท้องมาสามเดือนแต่ยังไม่เห็นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ท้องก็ยังไม่ใหญ่ ลูกก็ยังไม่ดิ้น แถมขึ้นบีทีเอสก็ยังไม่มีคนลุกให้นั่งอีกต่างหาก ถ้าคุณแม่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่เดือนที่สี่ ห้าและหกให้ดีๆ เลยจ้า บอกก่อนเลยว่าช่วงไตรมาสนี้ นอกจากอารมณ์คุณแม่ๆ จะแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแล้ว เจ้าร่างกายก็น้อยหน้าซะที่ไหน เผลอๆ แปรปรวนหนักกว่าอารมณ์ซะอีก เราลองไปดูกันดีกว่า ว่าช่วงนี้คุณแม่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ลูกได้ดูดนมไปสักพัก หัวนมคุณแม่ก็จะกลับมาเป็นสีชมพูเหมือนเดิม ช่วงก่อนคลอดนี่ร่างกายก็จะเตรียมพร้อมเพื่อลูกน้อย ท่อน้ำนมขยาย ลานนมกว้างขึ้น บางทีอาจจะเห็นน้ำใสๆ ไหลออกมาจากเต้า แต่อย่าได้ไปบีบหัวนมเลยเชียว เพราะอาจจะทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้ ในช่วงไตรมาสนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นเลยอาจจะทำให้เคลื่อนไหวช้าลงนิดหน่อย ช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะต้องการพลังงานแค่ประมาณ 2,200 กิโลแคลอรีเท่านั้น คุณแม่บางคนอาจจะคิดว่าทานสำหรับสองคน ต้องเอาแคลมาบวกกันรึเปล่า…ไม่ต้องนะ เดี๋ยวน้ำหนักคุณแม่จะพุ่งทะลุเป้าเกินไปซะก่อน เราขอเน้นให้คุณแม่เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่นพวกผักใบเขียว ปลาที่มีโอเมกา 3 โปรตีนจากไก่ อะไรพวกนี้ดีกว่า ส่วนพวกอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลายก็ควรจะงดไปก่อนเนอะ เพราะไขมันเยอะมากกกก แถมของทอดๆ ยังอาจจะทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อีกต่างหาก สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าลืมทานยาบำรุงที่คุณหมอให้มา โดยเฉพาะแคลเซียม เพราะลูกจะแย่งแคลเซียมจากเราไปเยอะมากๆ เพราะงั้นควรจะทานเสริมเข้าไปให้ได้อย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวันนะคะ

เมื่อพี่ตู่เตรียมคาร์ซีท พาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งแรก… แต่มะลิ (แม่บ้าน) ดันถอดเบาะคาร์ซีทไปซักซะงั้น งานนี้พี่ตู่ต้องใส่ผ้าหุ้มกลับเข้าไปเหมือนเดิม เบาะทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น ที่เข้าใจง่ายๆ พี่ตู่บอกว่าง่ายมาก ทำครั้งแรกก็ได้เลย #แท็กสามี #ซักคาร์ซีทให้หน่อย เพราะคุณแม่นุชออกไปทำธุระข้างนอก การพาน้องริสาออกไปเที่ยวครั้งนี้มีแค่สองพ่อลูกเท่านั้น คาร์ซีทจึงจำเป็นมาก พี่ตู่เลือกคาร์ซีท Ailebebe รุ่น  Kurutto 4 Grance ผ้าหุ้มตาข่ายระบายอากาศได้ดี น้องริสานั่งแล้วสบายตัว ไม่อึดอัด ไม่งอแง สบายจังเลย…ปะป๋า ของีบแป๊บบบบนะคะ หมุนได้ 360 องศา อุ้มน้องริสาขึ้นลงคาร์ซีทได้ง่าย คาร์ซีท Ailebebe ปลอดภัยแน่นอน เพราะทุกตัวผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด จากประเทศญี่ปุ่น รีวิวคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto4

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : เว็ปไซด์ theasianparent.com

การเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีเริ่มต้นจากการให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่การที่ลูกไม่ยอมกินข้าวเป็นปัญหาที่แม่หลายคนต้องพบเจอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กในวัยทารกหรือวัยเด็กเล็ก แต่หากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพของลูกในระยะยาว ดังนั้นวันนี้เรามีวิธีจัดการลูกไม่ยอมกินข้าวที่ได้ผลจริงมาฝากค่ะ 1. สร้างสภาพแวดล้อมในการทานอาหารที่ดี บรรยากาศการทานอาหารที่ดีช่วยให้ลูกอยากทานมากขึ้น คุณแม่ควรสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและไม่กดดันขณะทานอาหาร เช่น การทานอาหารร่วมกันกับครอบครัว หรือการตั้งโต๊ะอาหารที่มีสีสันและดูน่าสนใจ เคล็ดลับ: 2. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกอาหาร เด็กมักจะรู้สึกสนุกและมีความภาคภูมิใจเมื่อได้เลือกหรือช่วยเตรียมอาหารเอง คุณแม่สามารถให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูอาหารหรือการจัดเตรียมอาหารบางอย่าง เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการทานอาหารเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อ เคล็ดลับ: 3. หลีกเลี่ยงการบังคับให้กินอาหาร การบังคับให้ลูกทานอาหารอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและต่อต้านการทานอาหารมากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารจะช่วยให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อการทานอาหาร เคล็ดลับ: 4. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กมักเบื่ออาหารที่ซ้ำซาก ดังนั้นคุณแม่ควรเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายและน่าสนใจ เช่น การทำอาหารในรูปแบบต่างๆ หรือการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้าไปในอาหาร เคล็ดลับ: 5. ไม่เสิร์ฟของหวานก่อนมื้ออาหาร การเสิร์ฟของหวานหรือขนมก่อนมื้ออาหารจะทำให้ลูกอิ่มท้องก่อนและไม่อยากทานข้าว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการให้ขนมก่อนมื้ออาหาร เคล็ดลับ: 6. ทานอาหารร่วมกับลูก การทานอาหารร่วมกับลูกจะช่วยให้ลูกเห็นแบบอย่างในการทานอาหารที่ดี และทำให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วมในการทานอาหารด้วยกัน เคล็ดลับ: 7. ควบคุมเวลาการทานอาหาร การมีเวลาทานอาหารที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกสร้างนิสัยการทานอาหารที่ดี ไม่ทานอาหารระหว่างมื้อซึ่งอาจทำให้ลูกไม่หิวเวลาทานข้าว เคล็ดลับ: 8. ให้รางวัลเมื่อทานอาหารเสร็จ การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วเป็นวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกทานอาหารอย่างเต็มใจ โดยรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นขนมหรือของหวานเสมอไป […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages