อุ่นนมแม่ อย่างไร? ให้ลูกได้สารอาหารครบถ้วน

นมแม่ คืออาหารมหัศจรรย์ของลูกน้อย อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่ครบถ้วนและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อย ซึ่งคุณค่าสารอาหารในนมแม่ สำคัญที่สุดต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกทุกด้าน ได้แก่
- สารอาหารสร้างพัฒนาการสมอง ทั้ง ดีเอชเอ เอเอ กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า3 โอเมก้า 6 ทอรีนและอื่นๆ ที่ช่วยพัฒนาระบบประสาทและการทำงานของสมองลูกน้อย
- สารอาหารเพื่อร่างกายลูกน้อยเติบโตแข็งแรง เพราะมีทั้งโปรตีนที่มีประโยชน์และย่อยง่าย แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไขมัน คาร์โบไฮเดรต growth factor และวิตามินที่จำเป็นต่างๆ อีกมากมาย เพื่อให้ลูกมีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรงสมวัยเสมอ
- นมแม่มีสารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันธรรมชาติให้ลูก เทียบเท่ากับวัคซีนเป็นพันเข็ม ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่น ช่วยลดภูมิแพ้ และป้องกันการติดเชื้อจากโรคภัยต่างๆ ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่เจ็บป่วยง่ายนั่นเอง
- นมแม่ มีสารที่ช่วยในเรื่องระบบย่อยและฮอร์โมนต่างๆ ช่วยให้ลูกขับถ่ายง่าย อารมณ์ดี จิตใจแจ่มใส ยิ้มง่าย และยังได้รับความอบอุ่นปลอดภัย สร้างสายสัมพันธ์แห่งความผูกพันจากใจคุณแม่ ทำให้คุณหนูเลี้ยงง่าย อารมณ์ดีมีความสุข

อุ่นนมแม่ให้ถูก ลูกได้คุณค่าเต็มที่
เมื่อรู้ว่านมแม่มีคุณค่ามหาศาลอย่างนี้แล้ว คุณแม่ต้องให้ลูกน้อยกินนมแม่ให้นานที่สุด เพื่อให้ลูกได้รับคุณค่าน้ำนมให้มากที่สุด ด้วยการทำสต๊อกนมแม่เก็บไว้ให้ลูก และให้ความสำคัญกับการอุ่นนมแม่ที่แช่แข็งหรือทำสต๊อกไว้มาให้ลูกกินด้วย เพราะหากอุ่นนมแม่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยท้องเสีย แถมยังสูญเสียสารอาหารที่มีคุณค่าในนมแม่ไป เราจึงขอแนะนำวิธีการอุ่นนมที่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดมาฝากกันค่ะ
วิธี อุ่นนมแม่ จากช่องแช่แข็ง
- นำนมแม่ในถุงเก็บน้ำนมที่แช่แข็งจากช่องฟรีซ ย้ายลงมาแช่ในช่องธรรมดาด้านล่าง เพื่อเตรียมก่อนจะใช้ 1 คืน ให้นมแม่ค่อยๆ ละลายในวันรุ่งขึ้น โดยนำนมเก่าที่คุณแม่ปั๊มเก็บไว้มาใช้ก่อนตามลำดับวัน เวลา ที่เขียนไว้หน้าถุงเก็บน้ำนม
- เมื่อนมแม่ละลาย ให้แบ่งนมแม่ใส่ขวด ในปริมาณที่ลูกกินเฉพาะมื้อต่อมื้อเท่านั้น แล้วจึงค่อยนำมาอุ่น ซึ่งนมส่วนที่เหลือในช่องตู้เย็นธรรมดาจะสามารถเก็บให้ลูกกินได้อีก 2-3 วัน
- ไม่ควรนำนมแช่เข็ง ออกมาวางปล่อยให้ละลายเองที่อุณหภูมิห้อง เพราะอาจทำให้คุณแม่ทิ้งไว้จนลืมเวลา หรือทิ้งไว้นานเกินไป จนทำให้นมแม่เสียได้
- วิธีการอุ่นนมแม่ที่ดีและถูกต้องคือ นำนมแม่ไปแช่ไว้ในถ้วยหรือกะละมังเล็กๆ ที่ใส่น้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดาอุณหภูมิห้อง จนนมแม่หายเย็น
- ห้ามอุ่นนมแม่ด้วยการนำไปใส่ไมโครเวฟ หรือแช่ในน้ำร้อน นมแม่ควรผ่านความร้อนให้น้อยที่สุด เพราะความร้อนจะไปทำลายสารอาหารสำคัญในนมแม่ เช่น วิตามินบางตัว สารภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และอื่นๆ รวมทั้งน้ำนมอาจจะร้อนเกินไปจนลวกปากลูกน้อยได้
- หลังนมละลาย อาจมีชั้นของไขมันนมลอยอยู่ด้านบน แยกกับส่วนที่เห็นเป็นน้ำ ให้คุณแม่ค่อยๆเขย่าหรือแกว่งเบาๆ ให้นมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันก่อนให้ลูกน้อยกิน
- น้ำนมแช่แข็งที่ละลายแล้วอาจมีกลิ่นหืนนิดหน่อย แต่ไม่เสีย ลูกน้อยสามารถกินได้ไม่มีอันตราย
- ถ้าลูกน้อย ไม่ปฏิเสธหรือยอมกินนมเย็นๆ ได้ อาจไม่ต้องนำมาแช่ในน้ำอุ่น โดยเมื่อนมแม่ละลายตัวเข้ากันในช่องแช่เย็นธรรมดาแล้ว ก็สามารถนำมาให้ลูกกินนมแบบเย็นๆ ได้ทันที

ปัจจุบันมีเครื่องอุ่นนม ที่ช่วยอำนวยความสะดวกคุณแม่ในการละลายนมแม่แช่แข็ง ซึ่งมีการทำงานที่หลากหลายทั้งอุ่นนม ละลายน้ำแข็ง อุ่นอาหาร และฆ่าเชื้อได้ โดยคุณแม่ควรพิจารณาเลือกซื้อที่มีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเลือกปรับอุณหภูมิได้ตามความเหมาะสม เพื่อรักษาคุณค่าของนมแม่ไว้ให้ครบถ้วน
ข้อควรระวัง
- คุณแม่ควรทดสอบอุณหภูมิของน้ำนม ด้วยการหยดใส่หลังมือ โดยต้องไม่รู้สึกร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะนมที่ร้อนเกินไปอันตรายต่อทางเดินอาหารของลูก ตั้งแต่อาการพุพอง จนอาจกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหาร และยังทำลายเซล์เม็ดเลือดขาวในนมแม่ ส่วนนมที่เย็นเกินไป จะทำให้ลูกทารกมีภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำได้ด้วย
- คุณแม่ควรดมกลิ่นนมสต็อกหลังจากละลายน้ำแข็ง หรืออุ่นนมแม่แล้วทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่านมมีลักษณะเสียหรือไม่ ซึ่งนมที่เสียจะมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นรุนแรงมาก
- นมแม่ที่อุ่นจนละลายแล้ว ไม่สามารถเก็บได้นานเกิน 2-3 ชั่วโมง ในอุณหภูมิห้อง ดังนั้นจึงควรให้ลูกกินนมจนหมด หรือเก็บต่อได้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง แล้วต้องทิ้งไป
- ไม่ควรนำนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว กลับไปแช่แข็งใหม่

เรื่องเข้าใจผิดของการ อุ่นนมแม่ ทำเสียคุณค่าน้ำนม
- นำนมไปแช่ในน้ำร้อน หรือนำไปนึ่งได้ เพื่อให้ละลายเร็ว
ความจริงคือ ไม่ควรนำนมแม่ไปละลายในน้ำร้อน เพราะความร้อนจะทำให้สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีคุณค่าต่อลูกน้อยเสียไป - ละลายนมแม่ หรืออุ่นให้ร้อนเร็วได้ด้วยไมโครเวฟ
ความจริงคือ ห้ามนำนมไปอุ่นหรือทำให้ร้อนในไมโครเวฟ เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายสารภูมิคุ้มกัน และสารอาหารจำเป็นในนมแม่ ทำให้ลูกไม่ได้รับสารอาหารที่สำคัญครบถ้วน และน้ำนมอาจร้อนเกินไปจนลวกปากลูกได้ด้วย - หากลูกนมแม่ที่อุ่นแล้วไม่หมด ยังเก็บนมแม่นั้นให้ลูกกินมื้อถัดไปได้อีก
ความจริงคือ ไม่ควรนำนมที่ออกมาอุ่นแล้ว หรือนมที่เหลือ มาให้ลูกกินในมื้อถัดไป เพราะนมที่ละลายแล้วจะเก็บได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง นมอาจจะเสียหรือบูด เสี่ยงทำให้ลูกน้อย ปวดท้อง ท้องเสียหรือเจ็บป่วยได้ - ลูกกินนมเย็นไม่ได้ เดี๋ยวปวดท้อง ท้องเสีย!
ความจริงคือ การกินนมแม่ที่ละลายแล้วแบบเย็น ไม่ทำให้ลูกปวดท้องหรือ ท้องเสีย และนมแม่ก็ยังมีคุณค่าสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกน้อย แต่หากลูกไม่ชอบกินนมเย็น คุณแม่ก็เพียงนำขวดนมแม่มาแช่ในน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้องรอให้หายเย็นลงเท่านั้น - นมแม่ที่ละลายแล้วมีกลิ่นหืน คือเสีย! ให้ลูกกินไม่ได้
ความจริงคือ น้ำนมแม่ที่แช่แข็งไว้ เมื่อละลายหรืออุ่นแล้วอาจมีกลิ่นหืนได้บ้าง แต่ไม่ได้เสีย ลูกน้อยสามารถกินได้ เพราะยังคงมีคุณค่าสารอาหาร และไม่มีอันตราย ยกเว้นกรณีนมแม่มีกลิ่นรุนแรงมาก และมีรสเปรี้ยว แสดงว่านมนั้นเสียแล้วไม่ควรให้ลูกกิน
ข้อมูลเพิ่มเติม :
https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/HpH/admin/news_files/718_49_1.pdf, FB: สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ,
https://www.phyathai.com/
https://library.thaibf.com/ (คลังข้อมูล มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย)
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
การเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีเริ่มต้นจากการให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่การที่ลูกไม่ยอมกินข้าวเป็นปัญหาที่แม่หลายคนต้องพบเจอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กในวัยทารกหรือวัยเด็กเล็ก แต่หากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพของลูกในระยะยาว ดังนั้นวันนี้เรามีวิธีจัดการลูกไม่ยอมกินข้าวที่ได้ผลจริงมาฝากค่ะ 1. สร้างสภาพแวดล้อมในการทานอาหารที่ดี บรรยากาศการทานอาหารที่ดีช่วยให้ลูกอยากทานมากขึ้น คุณแม่ควรสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและไม่กดดันขณะทานอาหาร เช่น การทานอาหารร่วมกันกับครอบครัว หรือการตั้งโต๊ะอาหารที่มีสีสันและดูน่าสนใจ เคล็ดลับ: 2. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกอาหาร เด็กมักจะรู้สึกสนุกและมีความภาคภูมิใจเมื่อได้เลือกหรือช่วยเตรียมอาหารเอง คุณแม่สามารถให้ลูกมีส่วนร่วมในการเลือกเมนูอาหารหรือการจัดเตรียมอาหารบางอย่าง เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการทานอาหารเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อ เคล็ดลับ: 3. หลีกเลี่ยงการบังคับให้กินอาหาร การบังคับให้ลูกทานอาหารอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและต่อต้านการทานอาหารมากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารจะช่วยให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อการทานอาหาร เคล็ดลับ: 4. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กมักเบื่ออาหารที่ซ้ำซาก ดังนั้นคุณแม่ควรเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายและน่าสนใจ เช่น การทำอาหารในรูปแบบต่างๆ หรือการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เข้าไปในอาหาร เคล็ดลับ: 5. ไม่เสิร์ฟของหวานก่อนมื้ออาหาร การเสิร์ฟของหวานหรือขนมก่อนมื้ออาหารจะทำให้ลูกอิ่มท้องก่อนและไม่อยากทานข้าว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการให้ขนมก่อนมื้ออาหาร เคล็ดลับ: 6. ทานอาหารร่วมกับลูก การทานอาหารร่วมกับลูกจะช่วยให้ลูกเห็นแบบอย่างในการทานอาหารที่ดี และทำให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วมในการทานอาหารด้วยกัน เคล็ดลับ: 7. ควบคุมเวลาการทานอาหาร การมีเวลาทานอาหารที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกสร้างนิสัยการทานอาหารที่ดี ไม่ทานอาหารระหว่างมื้อซึ่งอาจทำให้ลูกไม่หิวเวลาทานข้าว เคล็ดลับ: 8. ให้รางวัลเมื่อทานอาหารเสร็จ การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วเป็นวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกทานอาหารอย่างเต็มใจ โดยรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นขนมหรือของหวานเสมอไป […]
คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา โรงเรียนอนุบาลในฝัน ที่เหมาะสมให้กับลูกน้อยอยู่ เราเลยมีตัวเลือกโรงเรียนต่าง ๆ ที่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลมาฝากกัน หลักสูตรจะน่าสนใจแค่ไหน และโดนใจคุณแม่กันบ้างหรือเปล่า มาดูกันเลยค่ะ โรงเรียนอนุบาลในฝัน มีที่ไหนที่น่าสนใจบ้าง มาดูกันเลย 1. โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวประมาณ 50 ไร่ โดดเด่นด้านให้นักเรียนเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม เน้นความเป็นธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เพื่อพัฒนาเด็ก ๆ ในแบบองค์รวมทั้งกาย ใจ สติปัญญา และสังคม เน้นลงมือทำจนเข้าถึงคุณค่าที่แท้จริงของทุกสิ่งที่เรียนรู้ สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ มีจินตนาการ และโรงเรียนนี้ยังไม่มียูนิฟอร์ม เด็ก ๆ สามารถแต่งกายไปเรียนได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นในวันกิจกรรมต่าง ๆ โรงเรียนรุ่งอรุณ เริ่มรับเข้าเรียน : ภาคเรียนที่ 2 เปิดเรียน เดือนกันยายน – ธันวาคม และภาคเรียนที่ 3 เปิดเรียน เดือนมกราคม – เมษายน ข้อมูลติดต่อ : https://www.roong-aroon.ac.th เบอร์โทรศัพท์ : 0 2870 7512 […]
“ครรภ์เป็นพิษ” หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ ถือเป็นภาวะไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นตัวคุณแม่เอง ครอบครัว รวมถึงคุณหมอสูติแพทย์ เนื่องจากหากคุณแม่ตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ จะมีโอกาสเสียชีวิตได้ค่อนข้างมาก โดยสถิติพบว่า10-15% ของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตเกิดจากภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีร้อยละ 2-8% ของสตรีตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ (ข้อมูลจากรพ.บำรุงราษฎร์) ฉะนั้นเพื่อไม่ให้คุณแม่ต้องมาเจอกับภาวะร้ายแรงนี้ ลองมาดูสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ และเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกัน หรือตรวจเช็กเพื่อรักษาได้ทันท่วงที ให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยปลอดภัยสุขภาพดีได้จนหลังคลอด ครรภ์เป็นพิษ ภาวะอันตรายในแม่ท้อง โดยภาวะครรภ์เป็นพิษที่มักพบส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์หลัง 20 สัปดาห์จนถึง 48 ชั่วโมงหลังคลอด แต่พบบ่อยคือหลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ แม่ท้อง รู้ก่อนรักษาได้ ชวนคุณแม่มาสังเกตอาการและสัญญาณต่างๆ ที่บอกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อาการหลักๆ ที่สำคัญแสดงถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่ การที่คุณแม่มี “ความดันโลหิตสูง” 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ร่วมกับตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมใน 24 ชั่วโมง และคุณแม่มีอาการ “บวม” ผิดปกติที่คุณหมอตรวจแล้วว่าไม่ได้บวมเพราะเป็นโรคไตหรืออื่นๆ รวมถึงมีอาการบวมที่มือ เท้าและใบหน้า ปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว อาเจียน คลื่นไส้ […]
เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]
น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้ สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ […]
วันหยุดสัปดาห์นี้ คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนอยู่บ้านกับเจ้าตัวเล็ก ยังไม่มีแพลนทำอะไรกันบ้าง?ลองมาดู กิจกรรมครอบครัว สนุกๆแม้อยู่ที่บ้าน ที่ Baby Gift นำมาฝากกันค่ะ รับรองว่าวันหยุดนี้ไม่เงียบเหงาแน่นอน ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาดูกันเลย !! ทำอาหารเมนูพิเศษร่วมกัน สิ่งที่มีค่ามากกว่า การมอบของขวัญให้แก่กัน คือ การที่ครอบครัวพูดคุยและใช้เวลาดีๆด้วยกัน เชื่อว่าในวันจันทร์ถึงศุกร์ คนในครอบครัวก็ต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องทำ จนอาจไม่มีเวลาว่างที่จะได้อยู่ร่วมกันมาก การทำอาหารเมนูพิเศษร่วมกันในวันหยุด จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมครอบครัว ที่สามารถสร้างช่วงเวลาดีๆให้กับลูกน้อย และสร้างความสันพันธ์ในครอบครัวได้ดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยฝึกทักษะด้านทำครัวให้กับเจ้าตัวเล็กแล้ว การได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการและกระบวนการคิดได้หลายๆด้าน เสริมสร้างจินตนาการได้ดี เด็กจะจดจำและเรียนรู้ได้ง่ายกว่าการมองเห็นเพียงภาพจากในหนังสือ หรือจากที่โรงเรียน รับรองว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นแววตาที่ตื่นเต้น และมีความสุขของเขาอย่างแน่นอน แต่งานนี้ไม่ง่ายเลย คุณแม่อาจจะต้องเตรียมตัวรับมือกับความวุ่นวายของลูกๆเป็นพิเศษ วันหยุดสัปดาห์นี้ อย่าลืมลองถามเจ้าตัวเล็กว่าอยากทานเมนูอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แล้วเตรียมของให้พร้อมเข้าครัวกันเลย จัดสวนปลูกต้นไม้กับเจ้าตัวเล็ก อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆที่บ้านกับเจ้าตัวเล็ก สำหรับบ้านที่ชอบธรรมชาติและมีพื้นที่ว่างนอกตัวบ้าน วันหยุดนี้ลองจูงมือลูกน้อยของคุณและคนในครอบครัว มาจัดสวนปลูกต้นไม้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะ นอกจากของเล่นที่ซื้อให้เด็กๆจะช่วยเสริมพัฒนาการแล้ว ของเล่นจากธรรมชาติก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญและเป็นประโยชน์มากๆเช่นกัน การที่เด็กได้คลุกคลีกับพื้นดิน ต้นไม้ หรือแมลง จะทำให้เด็กเข้าใกล้ธรรมชาติและรู้จักโลกนี้มากยิ่งขึ้น การปลูกต้นไม้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ลูกเรียนรู้การมีความรับผิดชอบและดูแลต้นไม้นั้นๆ นอกจากจะทำให้สนุกสนานเพลิดเพลินกับธรรมชาติแล้ว ยังช่วยทำให้คนในบ้านมีเวลาร่วมกันมากขึ้น เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้บ้านร่มรื่นน่าอยู่ ระหว่างปลูกต้นไม้นั้นคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสอนเจ้าตัวเล็กได้ ทั้งเรื่องดิน เรื่องพืช […]






