7 แบบ เป้อุ้มทารก 1 เดือน เลือกแบบไหนดี ? BabyGift แนะนำ !

เมื่อลูกน้อยอายุ 1 เดือนขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มต้องพาลูกออกจากบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะพาไปหาหมอ หรือพาไปทำธุระต่าง ๆ ซึ่งถ้าพูดถึงการพาเด็กเล็กออกไปนอกบ้าน นอกจากจะต้องมีรถเข็นเด็กที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะกำลังมองหา เป้อุ้มทารก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราอุ้มลูกได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ทำให้เมื่อยจนเกินไปเพราะช่วยถ่ายเทน้ำหนักได้ดี สำหรับบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการเลือกซื้อเป้อุ้มทารกอย่างไรดีให้เหมาะกับลูกน้อยของเรา ตามไปดูกันเลยค่ะ

BabyGift ชวนคุณแม่เลือก เป้อุ้มทารก 1 เดือน พร้อม 7 แบบเป้แนะนำ  

เป้อุ้มทารก 1 เดือน จำเป็นหรือไม่ ? มีประโยชน์อย่างไร ? 

ก่อนที่ BabyGift จะแนะนำแบบเป้ที่ดีกับลูกน้อยให้กับคุณแม่ ขอพาไปทำความรู้จักกับเป้อุ้มทารกกันก่อนนะคะ เป้อุ้มเด็ก หรือกระเป๋าอุ้มเด็กทารกเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอุ้มลูกน้อยด้วยตัวเอง และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูลูก เหมาะสำหรับการอุ้มเด็กเล็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งเป้อุ้มเด็กจะมีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวขนาดเล็ก เพราะมักจะไม่มีคนดูแลเด็กเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระอื่น ๆ นอกบ้าน หรือโดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องทำงานบ้านหรือทำธุระต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป้อุ้มเด็กเพื่อให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งคุณแม่สามารถใช้เป้อุ้มทารกได้ตั้งแต่ 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 1 ขวบขึ้นไป เราไปดูประโยชน์ของเป้อุ้มเด็กกันต่อเลยค่ะ 

  • ช่วยทุ่นแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่เวลาอุ้มลูก โดยไม่ทำให้ปวดเมื่อยจนเกินไป 
  • ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เพราะได้อยู่ใกล้ชิดคุณพ่อคุณแม่ตลอดเวลา  
  • ทำให้คุณแม่ฟื้นตัวหลังคลอดได้ดี เพราะช่วยปรับปรุงท่าทางและความแข็งแรงให้กับคุณแม่ได้ 
  • การใช้เป้อุ้มเด็กทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้น และอาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าหลังคลอดของคุณแม่ได้ด้วย  
  • นอกจากนั้นการพาลูกออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะเด็กที่ใช้เป้อุ้มทารก 2 เดือนขึ้นไป จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้กับลูกน้อยให้ได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ได้อีกด้วยค่ะ  

ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่เล่าไปข้างต้นแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่จะตอบคำถามคุณแม่อีกว่า ทำไมถึงควรใช้เป้อุ้มเด็ก ซึ่ง BabyGift เคยเขียนเอาไว้แล้ว ลองตามไปอ่านเพิ่มเติมกันดูนะคะ  

เลือกเป้อุ้มเด็ก อย่างไรดี ? ถึงจะดีต่อลูกน้อยมากที่สุด  

คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจมีความกังวลว่าการใช้เป้อุ้มเด็ก จะทำให้ลูกของเราขาโก่งหรือเปล่า ความจริงแล้วนั้น การที่เด็กขาโก่งไม่ได้เป็นผลมาจากการใช้เป้อุ้มเด็ก การอุ้มเข้าเอว หรือการใส่ผ้าอ้อมแต่อย่างใด แต่เกิดจากกรรมพันธ์ุและความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้ว กระดูกขาของเด็กเล็กนั้นจะมีความโค้งงอเล็กน้อย และจะค่อยๆ ยืดตรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กโตขึ้น 

สำหรับคุณแม่ที่อยากได้ข้อมูลเรื่องเป้อุ้มเด็ก ใช้แล้วลูกขาโก่งไหม BabyGift เคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ลองอ่านเพิ่มเติมกันดูได้เลยนะคะ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกเป้อุ้มเด็กที่สอดคล้องกับสรีระของเด็กเล็ก เป็นเป้ที่ลูกสามารถหันหน้าเข้าหาตัวคุณพ่อคุณแม่ได้ และสามารถรองรับกระดูกสันหลังและศีรษะของทารกได้ดี มีความยืดหยุ่นที่เด็กสามารถเอนตัวและขยับเคลื่อนไหวสะโพกได้ เพราะถ้าเลือกเป้อุ้มเด็กที่เมื่อเด็กนั่งแล้วมีท่าทางไม่สอดรับกับสะโพก หากนั่งท่านี้นานๆ ก็มีโอกาสที่จะบาดเจ็บหรือข้อสะโพกหลุดได้ แล้วจะเลือกเป้อุ้มเด็กอย่างไรดี มาดูสิ่งที่จะต้องพิจารณากันค่ะ  

  • เลือกเป้อุ้มเด็กที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการบาดเจ็บหรือความผิดปกติทางสรีระ 
  • มีโครงสร้างที่ทำจากวัสดุแข็งแรงและทนทาน มีความปลอดภัย อาจพาลูกไปทดลองนั่งเป้ด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าเหมาะกับลูกของเราหรือไม่  
  • ควรเลือกเป้อุ้มเด็กที่ลูกนั่งแล้วอยู่ในท่าทางที่สบายและถูกสรีระ ไม่เสี่ยงต่อการเกิดข้อสะโพกหลุด สามารถขยับแขนขาและศีรษะได้โดยที่ไม่ทำให้ลูกอึดอัด 
  • เลือกเป้อุ้มเด็กที่มีสายสะพายไหล่บุนวมกว้างๆ มีที่พาดหลังและสายคาดเอวกว้างๆ ซึ่งจะช่วยกระจายน้ำหนักของเด็กได้อย่างสม่ำเสมอและช่วยลดแรงกดบนไหล่ของเรา 
  • เลือกเป้อุ้มเด็กที่สามารถระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้ลูกร้อนหรืออึดอัดจนเกินไป ควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดีและทำให้ลูกอยู่ในเป้อุ้มเด็กได้อย่างสบายมากที่สุด  

7 แบบ เป้อุ้มทารก 1 เดือน คุณภาพดีที่ BabyGift แนะนำ

1. เป้อุ้มเด็ก HAENIM 9 (Hipseat Carrier) 

แบบแรกที่อยากแนะนำสำหรับเป้อุ้มทารก 1 เดือนขึ้นไป คือ HAENIM 9 รุ่น Hipseat Carrier ให้คุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกได้อย่างสบาย ไม่ทำให้ปวดหลัง ด้วยการออกแบบที่รองรับกับสรีระของเด็ก มั่นใจว่าปลอดภัยต่อลูกน้อย ผลิตและนำเข้าจากประเทศเกาหลี ดูแลรับประกันสินค้านาน 2 ปี  

จุดเด่น  

  • ฐานนั่งแบบ M-Shaped ให้ลูกน้อยนั่งอย่างถูกสรีระ ป้องกันข้อต่อสะโพกอักเสบ  
  • มีแผ่นพยุงศีรษะ ป้องกันลูกคอพับและกระดูกคอเคลื่อน  
  • มีผ้าซับน้ำลาย Organic ไม่ระคายเคืองผิวลูก สามารถถอดซักได้  
  • มีหมวกคลุมศีรษะ ปกป้องแสงแดดให้ลูก สามารถถอดได้  
  • ระบายอากาศดี ไม่ร้อนทั้งลูกน้อยและคนอุ้ม  
  • สายสะพายใหญ่ หนานุ่ม กระจายน้ำหนักได้ดี ไม่ทำให้เมื่อยไหล่  
  • สายคาดเอวขนาดใหญ่ ช่วยอุ้มลูกสบายขึ้น ไม่ปวดหลัง  
  • ฐานนั่ง Hipseat โค้งรับช่วงท้อง หนานุ่ม ไม่อึดอัด ไม่กดแผลผ่าคลอดคุณแม่  

การใช้งาน : 0 – 3 ปี รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

2. เป้อุ้มเด็ก HAENIM 9 Plus (Hipseat Carrier) 

อีกหนึ่งแบบเป้อุ้มเด็กเพื่อสุขภาพที่ผลิตและนำเข้าจากประเทศเกาหลี รุ่นนี้พิเศษมี Newborn Support ซัพพอร์ทการอุ้มเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไม่ว่าคุณแม่จะมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิด เป้อุ้มทารก 1 เดือนขึ้นไป ก็ตอบโจทย์ค่ะ 

จุดเด่น 

  • ฐานนั่งแบบ M-Shaped ให้ลูกน้อยนั่งอย่างถูกสรีระ ป้องกันข้อต่อสะโพกอักเสบ  
  • มีแผ่นพยุงศีรษะ ป้องกันลูกคอพับและกระดูกคอเคลื่อน  
  • มีผ้าซับน้ำลาย Organic ไม่ระคายเคืองผิวลูก ถอดซักได้  
  • มีหมวกคลุมศีรษะ ปกป้องแสงแดดให้ลูก สามารถถอดได้  
  • วัสดุภายนอกทำจากผ้า Melange ผ้าที่เกิดจากเส้นใยมากกว่าสองสีที่อยู่รวมกัน ทำให้มีความสวยงาม อีกทั้งยังช่วยป้องกันละอองฝน และแสงแดด 
  • ระบายอากาศดี ไม่ร้อนทั้งลูกน้อยและคนอุ้ม  
  • มีสายสะพายขนาดใหญ่ หนานุ่ม กระจายน้ำหนักได้ดี ช่วยให้ไม่เมื่อยไหล่ขณะอุ้ม 
  • สายคาดเอวขนาดใหญ่ ช่วยอุ้มลูกสบายขึ้น ไม่ปวดหลัง ทำจากวัสดุ Polyurethane ช่วยลดแรงกดทับหน้าท้องได้ดี   
  • ฐานนั่ง Hipseat โค้งรับช่วงท้อง หนานุ่ม ไม่อึดอัด ไม่กดแผลผ่าคลอดของคุณแม่  

การใช้งาน : 0 – 3 ปี รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

3. Pognae เป้อุ้มเด็ก รุ่น No.5 

นี่คือเป้อุ้มทารก 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 3 ปี ที่ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยเนื้อผ้า Waterproof ของแบรนด์ POGNAE จากประเทศเกาหลี สามารถใช้งานได้ในกลางแจ้ง เนื้อผ้ามีส่วนผสมระหว่างเส้นใยผ้ายออร์แกนิกและ Polyester อ่อนโยนต่อผิวของลูกน้อย  

จุดเด่น  

  • เนื้อผ้ากันนั้นที่ผสมระหว่าง Organic cotton และ polyester อ่อนโยนต่อผิวเด็กและดูแลรักษาง่าย 
  • มีที่พยุงคอและระบบระบายอากาศแบบม้วนเก็บได้ 
  • เลือกเปลี่ยนสายรัดเพื่อใช้งานได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นนั่งอย่างเดียว หรือพร้อมสายรัดแบบเป้ 
  • สามารถอุ้มได้จากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เด็กหันหน้าเข้าหรือออกได้ทั้งสองแบบ 
  • รับประกันความพอใจ อุ้มเด็กไม่ปวดหลัง 100% 
  • รองรับสรีระของผู้อุ้มและลูกน้อยได้ตามหลักสรีรศาสตร์  

การใช้งาน : ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

4. BABY & ME เป้อุ้มเด็ก  

Baby & Me เป็นแบรนด์เป้อุ้มเด็กอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลมากมาย เช่น Good Design Award / Kids Design Award / No.1 Parenting Award จึงรับรองได้ว่าเป็นเป้อุ้มทารก 1 เดือนที่มีคุณภาพดี ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง  

จุดเด่น  

มีการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยโอซาก้าเรื่องน้ำหนักของเด็กขณะใช้เป้อุ้ม จะทำให้เบาลงไปได้ถึง 53% (ทดสอบกับเด็กช่วงน้ำหนัก 6.5 kg. -11.2 kg.) 

  • ได้รับการออกแบบโดยการศึกษาวิจัยเรื่ององศาการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง ไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ปวดไหล่ หลัง เข่า 
  • เบาะนั่งมีการทำซัพพอร์ตก้นเด็ก ทำให้เวลาลูกนั่งจะไม่เมื่อย ไม่ปวดก้น นั่งสบาย ถูกสรีระ 
  • มีอุปกรณ์ซัพพอร์ตตัวและคอของเด็ก เหมือนถูกคุณพ่อคุณแม่กอดไว้  
  • เนื้อผ้าเป็น Waterproof Fabric ง่ายต่อการทำความสะอาด 
  • มีตาข่ายเปิดระบายอากาศ ไม่ทำให้ลูกร้อน แต่หากต้องการให้อบอุ่นขึ้นก็สามารถรูดซิปปิดได้ 

การใช้งาน : ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศญี่ปุ่น

5. เป้อุ้ม Hugpapa รุ่น Dial-Fit Pro (3in1 Hip Seat Carrier)

รุ่นนี้มาพร้อม BOA เทคโนโลยีใหม่ที่ปรับกระชับตัวได้ง่ายมากขึ้นแค่เพียงหมุน ใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ปรับได้พอดีกับสรีระทุกคน มีน้ำหนักเบาสบาย สามารถอุ้มลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด ไม่ว่าจะมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิด,  1 เดือน หรือว่า เป้อุ้มทารก 2 เดือนขึ้นไป แบบนี้ก็ตอบโจทย์ค่ะ  

  • วัสดุฮิปซีทออกแบบพิเศษ 2 ชั้น โดยทำจาก Polyurethane และ EPP จึงทำให้สัมผัสนุ่มพิเศษ นั่งแล้วไม่ยวบ ไม่เสียทรง คืนรูปรวดเร็ว น้ำหนักเบา 
  • ฮิปซีทที่นั่งเอียง 23 องศา ช่วยให้ลูกนั่งสบายมากขึ้น และเป็นแบบ M-Shape ป้องกันข้อสะโพกหลุด 
  • ฮิปซีทเว้าโค้งช่วยให้เข่าและสะโพกเด็ก อยู่ในระดับเดียวกัน และโค้งรับหน้าท้องไม่กดแผลผ่าคลอด 
  • ได้รับการรับรองจากสถาบัน IHDI ลูกนั่งสบายอย่างปลอดภัย ไม่ทำให้ขาโก่ง หลังงอ  
  • มีหมวกคลุมศีรษะ ป้องกันแสงแดดให้ลูกน้อย  
  • มีผ้าซับน้ำลาย Organic ไม่ระคายเคืองผิว ถอดซักได้  
  • มีแผ่นพยุงศีรษะลูกน้อย ป้องกันปัญหาคอพับ  
  • ช่องตาข่ายระบายอากาศ สามารถเปิดระบายเหงื่อและความร้อนได้  
  • สายคาดเอวระบายอากาศได้ดี วัสดุเป็นตาข่ายแบบนุ่มพิเศษ ไม่ร้อน  
  • สายล็อคเป็นวัสดุหัวแม่เหล็ก ช่วยให้ติดและถอดออกได้สะดวกกว่า หัวล็อคทั่วไป 

การใช้งาน : 0 – 36 เดือน รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

6. Pognae เป้อุ้มเด็ก รุ่น No.5 Plus

เป้อุ้มเด็ก Pognae No.5 Plus สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดเป็นต้นไป ซึ่งอุปกรณ์ที่นั่งเสริมสำหรับเด็กแรกเกิดของ No.5 Plus นั้นถูกออกแบบมาอย่างประณีตและถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ จึงช่วยให้อุ้มเด็กอ่อนได้อย่างกระชับปลอดภัย  

จุดเด่น   

  • มีส่วนเสริมเด็กแรกเกิด Newborn Support ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้อุ้มเด็กอ่อนได้อย่างปลอดภัย 
  • ซิปไร้เสียง Noiseless Waist Belt ช่วยไม่ให้มีเสียงดังที่เกิดจากการถอดเข็มขัด Hipseat เวลาเด็กหลับ 
  • มีที่ปรับขา 3 ระดับ ปรับความกว้างตามช่วงขา เพื่อรองรับสรีระของลูกที่ต่างกันตามช่วงอายุและท่าของการอุ้ม 
  • ถูกหลักการยศาสตร์ (Ergonomic) ทำให้การอุ้มเด็กอยู่ในลักษณะ M Shape 

ให้ลูกรักนั่งสบาย ขาไม่ถ่าง คนอุ้มไม่ปวดหลัง การันตีด้วยตราขององค์กรกระดูกนานาชาติ สถาบันโรคสะโพกหลุด International Hip Dysplasia 

  • เป็นชุดเป้อุ้มเด็กแบบออลอินวัน ALL-IN-ONE baby carrier (Hipseat, Hipseat Carrier, Baby Carrier) 

การใช้งาน : 0 – 36 เดือน รองรับน้ำหนักมาถึง 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

ดูรายละเอียด Pognae เป้อุ้มเด็ก รุ่น No.5 Plus

7. Pognae เป้อุ้มเด็ก รุ่น No.5 Max

ไม่ว่าจะมองหาเป้เด็กแรกเกิด หรือเป้อุ้มทารก 1 เดือนขึ้นไป POGNAE รุ่น NO.5 Max นั้นก็รวมทุกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ในเป้รุ่นเดียว ทั้งผ้าอุ้มเด็ก Step One Shawl uv Air หรือผ้าอุ้มเด็กแรกเกิด พร้อมระบบ Safety Lock Upgrade ถอดเป้ได้เงียบกริบ ไม่ต้องกลัวลูกตื่น ได้รับการรับรองจากสถาบัน IHDI ขาไม่โก่ง หลังไม่งอ ปลอดภัยทุกวินาทีที่อยู่บนเป้ 

จุดเด่น  

  • มี Baby Stay ที่พยุงก้นลูก ออกแบบตามหลักสรีรวิทยา  
  • Breathable Cool Mesh ระบบระบายอากาศรอบทิศทาง เหมาะกับอากาศประเทศไทย 
  • ถูกหลัก Ergonomic ทั้งผู้อุ้มเเละลูกน้อย 
  • มีแกนพยุงสะบัก ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ 
  • เหล็กเสริมพยุงหลัง 4 ชั้น ไม่ทำให้ปวดหลัง เอว สะโพก กระจายน้ำหนักได้ดี 
  • ผ้า Waterproof กันน้ำ ไม่เก็บความชื้น 
  • ปรับ M Shape / U Shape ได้ตามสรีระและการเติบโตของลูก ไม่ทำให้ลูกมีปัญหาขาโก่งตามมา 

การใช้งาน : ตั้งเเต่เเรกเกิด – 6 ขวบ รองรับน้ำหนักมาถึง 20 กิโลกรัม 

แบรนด์ : ประเทศเกาหลี

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาเป้อุ้มเด็กแรกเกิด เป้อุ้มทารก 1 เดือน หรือเป้อุ้มทารก 2 เดือนขึ้นไป ก็น่าจะมีตัวเลือกในใจกันบ้างแล้ว หรือถ้ายังไม่แน่ใจว่าควรเลือกแบบไหนดี สามารถเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพ มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยมาลองนั่งเป้อุ้มเด็กได้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 5 สาขา ใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ 

อ้างอิงที่มาข้อมูลบางส่วนจาก  https://wearmybaby.co.uk/12-reasons-to-use-a-baby-carrier/  

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เชื่อว่าปัญหาที่หลายๆ บ้านจะต้องเจอก็คือ การที่ลูกรักไม่ยอมกินข้าว โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุ 1 ขวบขึ้นไป เมื่อเริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง ก็จะติดเล่น ไม่ค่อยยอมกินข้าวหรือกินได้น้อย บางคนก็อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรือหันหน้าหนี กว่าจะป้อนหมดชามก็ใช้เวลานานเกินไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนเป็นกังวล เพราะการที่ลูกเราไม่ยอมกินข้าวก็อาจส่งผลต่อสุขภาพและการเติบโตของลูกได้ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่ต้องให้เวลา ใช้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย ก็จะทำให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้น ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี ? มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันกับ BabyGift ได้เลยค่ะ ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบ ทำยังไงดี ? ชวนดูเทคนิคดีๆ ที่ทำให้ลูกกินได้มากขึ้น การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับลูกน้อย เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอนั้นอาจทำให้ลูกมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และสุขภาพไม่แข็งแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเด็กอายุครบ 1 ขวบจะเริ่มเรียนรู้การปฏิเสธอาหารหรือคายอาหาร เนื่องจากมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถหยิบจับอาหารเข้าปากได้เอง การปฏิเสธ หรือคายอาหารจึงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองกินสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่ลูกไม่ยอมกินข้าว 1 ขวบนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานและหายไปได้เอง แต่เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมกินยาก […]

ลูกไม่ยอมกินข้าว เป็นปัญหาที่พบเป็นประจำของหลาย ๆ บ้านเลยนะคะ สำหรับเรื่องการกินข้าวยากของลูกน้อย โดยเฉพาะคุณหนูวัย 1 ปีขึ้นไป ที่เริ่มเดินได้คล่อง เริ่มวิ่งได้บ้าง พอถึงเวลากินข้าวเมื่อไหร่ ก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่หนักใจไม่น้อยเลย ทั้งกินข้าวน้อย อมข้าว ห่วงเล่นจนใช้เวลานานเกินไปสำหรับอาหาร 1 มื้อ แต่ปัญหาการกินของลูกรับมือได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแต่ต้องให้เวลา ให้ความเข้าใจ และต้องใจแข็งนิดหน่อย คุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยให้ลูกมีวินัยในการกินมากขึ้นได้ มาลองฝึกลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ ฝึกให้ลูกทานข้าวเป็นเวลา ให้คุณแม่ทำข้อตกลงกับลูกว่า เข็มนาฬิกาชี้เลขนี้ เวลานี้ คือเวลาทานอาหาร ลูกควรจะหยุดเล่น แล้วมาทานข้าวด้วยกัน หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วลูกค่อยกลับไปเล่นต่อ หรือ จะบอกลูกว่าเวลานี้ต้องทานอาหาร ลูกคือคนสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่อยากทานข้าวด้วย เราต้องทานพร้อมกัน เพื่อฝึกให้ลูกรู้จักเวลาของมื้ออาหาร และรู้ว่าทุก ๆ คนในบ้านก็ทำเหมือนกัน สร้างบรรยากาศการทานอาหารให้ลูก การทานอาหารร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างวินัยการทานอาหารให้ลูกได้ พ่อ แม่ ลูก ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ไม่ปล่อยให้ลูกทานคนเดียว หรือ แยกโต๊ะลูกออกไป ก็จะช่วยสร้างบรรยากาศการทานอาหารให้ลูก ให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญในบ้าน เป็นเหมือนผู้ใหญที่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวด้วยกัน ฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้ทานข้าวสำหรับเด็ก คุณพ่อคุณแม่ห้ามตามป้อนข้าว […]

เมื่อเริ่มตังครรภ์ มีเจ้าตัวเล็กเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คุณแม่ทุกคนก็ต้องตื่นเต้นอยากเจอหน้าลูกและสงสัยว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ ไปถึงไหนแล้วใช่ไหมคะ เราจึงนำพัฒนาการของลูกน้อยตลอดเก้าเดือนที่อยู่ในท้องของคุณแม่มาให้ชมกัน เบบี้กิ๊ฟขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านด้วยนะคะ ลูกน้อยตัวโตแค่ไหนแล้ว เราลองเทียบกับผลไม้ให้ดูค่ะ พัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 1 พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 1 คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เข้าเดือนที่สองไปแล้ว เพราะว่าในเดือนแรกนี้จะเป็นช่วงที่ไข่กับอสุจิเข้าผสมกัน มีการแบ่งเซลล์แล้วก็ฝังตัวของเอ็มบริโอ ซึ่งในระยะนี้เจ้าหนูน้อยก็จะเล็กจิ๋วมาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีขนาดไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นเอง ส่วนการพัฒนาหลัก ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาในส่วนของรก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับสารอาหารจากคุณแม่ พัฒนาการทารกในครรภ์ เดือนที่ 2  พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 เดือนนี้แหละที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านจะเริ่มรู้ตัว มีอาการแพ้ท้อง แล้วก็ไปหาคุณหมอเพื่อการฝากครรภ์กันแล้ว ในช่วงเดือนนี้ลูกน้อยจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ก็จะยังไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพัฒนาของระบบประสาท เนื้อเยื่อเส้นใยประสาท แล้วก็ไขสันหลัง คุณแม่สามารถทำอัลตราซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเต้นได้แล้วนะคะ พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 28 กรัม และมีความยาวประมาณ 7.6 ซ.ม. แล้วค่ะ […]

หลังจากที่ได้เห็นข่าวที่เกี่ยวกับลูกน้อย วัยกำลังเริ่มแสบซน เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเกี่ยวกับรถที่ผู้ปกครองขับ ไม่ว่าเค้าจะชนเรา หรือเราจะชนอะไรก็ตาม มีความเสี่ยงไปหมดดดดดด คาร์ซีท หรือเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กและทารก เพราะคาร์ซีทช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตและการบาดเจ็บร้ายแรงอื่น ๆ จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ ความเสี่ยงในที่นี้ คือ เจ้าตัวน้อยของเราสามารถกระเด็น พุ่งหลุดออกจากอ้อมอกอ้อมกอดเราได้ทุกเมื่อ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ต่อให้ระวังแค่ไหนก็เกิดขึ้นได้ หากเด็กไม่ได้อยู่ในระบบยึดเหนี่ยวภายในรถอย่างเหมาะสมและเหตุนี้หลากหลายประเทศถึงมีกฎหมายออกมาเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่เดินทางโดยใช้รถ จำเป็นต้องติดตั้งคาร์ซีท ก่อนจะได้ออกจากโรงพยาบาล อ้อมกอดของคุณจะปลอดภัยไปทุกครั้ง เพราะเด็กน้อย จำเป็นต้องมีคาร์ซีท การเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย มีมาฝากเพียง 5 ข้อ คือ 1. มาตรฐานความปลอดภัย2. เข็มขัดนิรภัย 5 จุด3. ความใหม่ของผลิตภัณฑ์4. ราคา5. ความเหมาะสมกับรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของคาร์ซีทก็มีมากมาย หากไปดูหลายๆ เคสหรือหลายๆ ข่าว ก็จะมีให้เราผู้เป็นพ่อเป็นแม่เห็น ครั้งต่อไปจะมาเล่าเรื่องฝึกการนั่งคาร์ซีทให้กับลูกน้อยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ได้ลองศึกษาดูนะคะ ขอขอบคุณบทความจาก : monkeykids

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่าน คงเริ่มรู้จักกับคาร์ซีทกันบ้างแล้ว ว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยในขณะเดินทาง แต่รู้หรือไม่ว่า คาร์ซีทที่ติดตั้งในรถยนต์แต่ละประเภทนั้น จะต้องติดตั้งตำแหน่งที่แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปหาคำตอบกันว่า วิธีติดตั้งคาร์ซีท ตำแหน่งไหนปลอดภัยมากที่สุด วิธีติดตั้งคาร์ซีท มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี  ตำแหน่งที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุด สำหรับประเทศไทย ตำแหน่งในรถยนต์ที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุดก็คือ “เบาะหลังฝั่งคนนั่ง” ด้วยเหตุผลดังนี้…  รถยนต์ SUV หรือ รถตู้ ติดตั้งคาร์ซีทเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถตู้ ส่วนใหญ่แล้วรถที่มีนั่งมากกว่า 2 ตอน ควรจะติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะแถวสุดท้ายของตัวรถ แต่ก็จะมีข้อควรระวังในเรื่องของการติดตั้ง เช่น ควรจะขยับเบาะให้ห่างจากประตูหลัง เพื่อให้มีระยะห่างกับประตูพอสมควร เพื่อเป็นการเซฟตี้ลูกน้อยให้ปลอดภัยมากที่สุด  Alphard ติดตั้งคาร์ซีทได้ไหม ติดตั้งเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถ Toyota Alphard ควรจะติดตั้งที่เบาะแถวแรก หรือ แถวตอนสุดท้ายของตัวรถ ไม่ควรติดตั้งที่เบาะด้านหน้า เนื่องจากมีถุงลมนิรภัย (Airbag) และคาร์ซีทบางรุ่นอาจมีขนาดใหญ่ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองของคนขับลดน้อยลง และสำหรับคาร์ซีทที่มีฟังก์ชั่นหมุนได้ เมื่อติดตั้งไปแล้วจะทำให้หมุนยากหรือหมุนไม่ได้เลย เนื่องจากเบาะรถมีขนาดพอดีตัว พื้นที่จำกัด ทำให้เวลาหมุนแล้วตัวคาร์ซีทจะไปติดที่ข้างเบาะ […]

การเป็นแม่มือใหม่คือการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพของลูกน้อย เพราะสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ ในวัยเด็กแรกเกิด ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูยากในตอนเริ่มต้น แต่แม่มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพดีได้ มาดูกันว่า 10 เคล็ดลับที่จะช่วยเลี้ยงลูกให้สุขภาพดีมีอะไรบ้างค่ะ 1. ให้นมแม่เป็นหลัก การให้นมแม่เป็นการมอบสารอาหารที่ดีที่สุดแก่ลูกในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต นมแม่มีทั้งสารอาหารที่ครบถ้วนและภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก เคล็ดลับ: 2. เริ่มอาหารเสริมเมื่อถึงเวลา เมื่อเด็กครบ 6 เดือน ควรเริ่มให้อาหารเสริมเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาร่างกายและสมองของลูกได้อย่างดี เคล็ดลับ: 3. ส่งเสริมการนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กและช่วยพัฒนาสมอง เด็กเล็กต้องการการนอนหลับมากในแต่ละวัน เคล็ดลับ: 4. ฉีดวัคซีนตามกำหนด การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหัด คอตีบ หรือบาดทะยัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม เคล็ดลับ: 5. ให้ลูกได้รับการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการร่างกายและสมองของลูก การให้ลูกมีโอกาสเคลื่อนไหวตามวัย เช่น การคลาน การนั่ง หรือการยืน ช่วยเสริมพัฒนาการให้ดีขึ้น เคล็ดลับ: 6. รักษาความสะอาดและสุขอนามัย การรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและสิ่งแวดล้อมช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อในช่องปากหรือผิวหนัง […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages