มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ระดับสากล

เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กในรถยนต์ทุกที่นั่งจะต้องมีป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 เป็น มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท เพื่อบ่งชี้ว่าเบาะตัวนั้นๆได้ผ่านตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 จะเป็นป้ายสีส้ม
- แสดงประเภท (Category) ของเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก
- แสดงน้ำหนักที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งาน (Weight class)
- “Y” แสดงชนิดของอุปกรณ์ป้องกัน ในรูป “Y” หมายถึง เข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุดที่มีสายรัดเป้า
- ตัวบ่งชี้ว่าเป็นยุโรปอนุมัติ
- ตัวบ่งชี้สำหรับประเทศที่ได้รับความเห็นชอบ (1 = เยอรมนี, 2 = ฝรั่งเศส, 3 = อิตาลี, 4 = เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ )
- หมายเลขการอนุมัติ ประกอบด้วยตัวเลข 8 หลัก ตัวเลขสองตัวแรกแสดงเวอร์ชั่นของมาตรฐานการทดสอบ ECE R 44 ที่เบาะนิรภัยนั้นๆได้รับการอนุมัติ (ในกรณีนี้คือ ECE R 44/04)
- เลขที่ปัจจุบัน

มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตาม Group

และแบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆ ทั้งหมด 4 ประเภท (4 Categories) ตามการติดตั้งและการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เราทราบว่าเบาะนั้นๆออกแบบมาสำหรับรถเราหรือไม่
มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท ECE 44/03 และ ECE R 44/04 แบ่งตามภูมิภาค

จากข้อมูลในหัวข้อนี้คงพอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายและทราบถึงรายละเอียด ข้อมูลของเบาะนั้นจากป้ายมาตรฐาน ตลอดจนเป็นประโยชน์กับผู้ปกครองในการเลือกซื้อเบาะให้เหมาะกับลูกหลานและรถ ที่มีแนวทางการใช้งานเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก
- เลือกเบาะนั่งนิรภัยให้เหมาะสมกับขนาดร่างกายของเด็กและเหมาะกับรถ เบาะนั่งนิรภัยไม่เหมือนเสื้อผ้า การซื้อเบาะนั่งที่ไม่ตรงกับขนาดและอายุของเด็กจะส่งผลต่อความปลอดภัย
- ตอบความพึงพอใจของเด็ก โดยเฉพาะในด้านความสะดวกสบายในขณะนั่ง ทางที่ดีก่อนซื้อควรพาลูกๆหลานๆไปทดลองถึงที่ด้วยก็จะดี เพราะนั่นจะทำให้ทราบว่า เบาะรุ่นไหนเขานั่งแล้วสบาย ไม่อึดอัด
- สร้างความคุ้นเคยให้เด็ก สำหรับเด็กที่ยังไม่เคยนั่งมีคำแนะนำให้เอาเบาะมาให้เด็กได้สัมผัสได้ลองเล่นในบ้าน ให้เด็กนั่งขณะป้อนข้าวหรือทำกิจกรรมต่างๆเพื่อทำความคุ้นเคย เพื่อเด็กจะได้ไม่กลัวหรืองอแงยามที่ต้องถูกล็อคอยู่ในรถจริงๆ (คำแนะนำของกุมารแพทย์ รพ.กรุงเทพ)
ในครั้งแรกๆ เด็กๆอาจจะร้องเพราะกลัวการถูกล็อค แต่ถ้าเขาคุ้นเคยเสียก่อน ก็จะลดการร้องไม่ยอมของเด็กได้ การที่เด็กๆร้องก็จะทรมาณใจพ่อแม่เพราะสงสารลูกๆและเป็นสาเหตุทำให้ละเลยการใช้งานเบาะนิรภัยในครั้งต่อๆไป
- ห้ามไม่ให้ใช้เบาะนั่งนิรภัยร่วมกับถุงลมนิรภัยที่อยู่ด้านหน้า
- ควรให้เด็กนั่งที่ห้องโดยสารตอนหลัง (เบาะหลังรถ) จากการศึกษาวิจัยของสถาบัน NHTSA (Nation Highway Traffic Safety Administration) สรุปไว้ว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งเบาะด้านหลังรถ การให้เด็กนั่งด้านหลังแทนการนั่งด้านหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ได้ 27 % ไม่ว่ารถคันนั้นจะมี airbag ด้านข้างหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่นั่งกลางของเบาะหลังจะเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด
เพราะว่าเด็กที่นั่งอยู่ในเบาะนิรภัยจะมีการป้องกันการชนด้านข้างต่ำ การนั่งในตำแหน่งกลางจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับแรงกระแทก แต่ทั้งนี้รถควรจะเป็นรถขนาดใหญ่ที่เบาะกลางมีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถติดตั้งตรงเบาะกลางได้ การติดตั้งทางฝั่งซ้ายหรือขวาก็สามารถทำได้ โดยที่ฝั่งตรงข้ามคนขับ (ฝั่งเดียวกับฟุตบาท) จะปลอดภัยกว่าฝั่งคนขับ สำหรับการใช้งานเบาะนิรภัยร่วมกับรถปิกอัพให้ติดตั้งด้านหน้าข้างคนขับและห้ามใช้ถุงลมในที่นั่งด้านข้างคนขับ
- ควรให้เด็กนั่งหันหลังให้หน้ารถให้นานที่สุดจนกว่าสรีระเด็กจะนั่งแบบนี้ไม่ได้ เพราะการนั่งแบบหันหน้าไปด้านหลังรถจะปกป้องหัวของเด็ก คอ และกระดูกสันหลังได้ดีกว่า
- ศึกษาคู่มือการติดตั้งและการใช้เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ตลอดจนคู่มือรถยนต์ที่ใช้อยู่ให้รู้แจ้ง ทั้งนี้ก็เพราะว่าในช่วงแรกของการใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็กในสหรัฐอเมริกาผู้ปกครองจำนวนมากถึง 63% ติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยไม่ถูกต้อง ทั้งการวางเบาะผิดตำแหน่ง, การจัดท่าเด็กในขณะนั่ง และการคาดกับเข็มขัดนิรภัยผิดๆ ดังนั้นหลังจากซื้อเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาแล้วจึงควรศึกษาคู่มือให้เข้าใจก่อนเริ่มการติดตั้ง
- ติดตั้งเบาะนิรภัยในรถและจัดให้เด็กนั่งในเบาะนิรภัยอย่างถูกต้อง เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก จากการวิจัยพบว่าผู้ปกครองจำนวนมากยังปฎิบัติไม่ถูกต้อง ต้องตรวจสอบการยึดรั้งร่างกายของเด็กกับเบาะให้ดี และตรวจสอบเข็มขัดนิรภัยของตัวเบาะนั่งว่ารัดแน่นไปหรือเปล่า หรืออยู่ในตำแหน่งที่ผิดเพี้ยนจนสร้างความรำคาญให้กับเด็กหรือไม่ การนั่งที่ถูกต้องสายเข็มขัดนิรภัยของตัวเบาะจะต้องแน่นพอดีและพาดข้ามบ่าของเด็ก อย่าพาดอ้อมแขนหรือสอดไว้ใต้แขนเด็ก
- เด็กพร้อมที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยของรถได้ตามปกติเมื่อ
1. เด็กสูงเพียงพอที่ขาและเข่าของเขาสามารถนั่งห้อยขาได้เบาะนั่งรถได้พอดี
2. เด็กโตพอที่จะสามารถนั่งตัวตรง หลังพิงพนักพิงได้ตรง
3. เข็มขัดนิรภัยของรถส่วนล่างจะต้องรัดได้ตรงส่วนกระดูกเชิงกรานไม่ใช้รัดตรงท้อง
4. เข็มขัดที่พาดส่วนบ่าจะต้องพาดผ่านมาตรงส่วนหน้าอก ไม่ใช่ผ่านมาตรงแขนหรือคอ
สถานการณ์เบาะนั่งนิรภัยในไทย
มุมมองในเรื่องความปลอดภัยของคนใช้รถใช้ถนนในบ้านเรายังเป็นอะไรที่ควรได้ รับการปรับปรุงและส่งเสริมให้คำนึงอยู่ในจิตสำนึกโดยตลอด อีกทั้งในปัจจุบันเมืองไทยยังไม่มีการออกกฎหมายบังคับใช้เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือสร้างมาตรฐานสำหรับเบาะนั่งนิรภัยเด็กออกมาใช้ ยังไม่นับรวมการละเลยกฎจราจร, ขาดมารยาทในการขับขี่ และขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้นอกจากเป็นสิ่งที่ภาครัฐควรช่วยกันผลักดันแล้วเราทุกคนต้องช่วยกันด้วยโดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน
เอกสารอ้างอิง
Traffic Safety Facts 2008 Data, NHTSA’s National Center for Statistics and Analysis, National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA), 2008
Guideline for Injury Prevention in Well Child Care, ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก, ภาควิชากุมารเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, 2005
ระบบยึดเหนี่ยวเด็กในรถ (Child Restraint System), ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก, ภาควิชากุมารเวชศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
PandaTrueno.: จริงหรือที่เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กแพง, Safety Zone. In: MotorTrivia, 2010
ผศ.นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์, “โครงการการจัดการความรู้จากชุดโครงการวิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและ ป้องกันการบาดเจ็บในเด็กสู่นโยบายสาธารณะ”, ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก, 2004
“ถึงเวลาใส่ใจนักเดินทางตัวน้อยแล้วหรือยัง?”, Special Report. In: Thaidriver Magazine No.91, หน้า 76-85, 2007
PandaTrueno.: มารู้จักกับประเภทของ car seat กันก่อน, Safety Zone. In: MotorTrivia, 2010
Car Seats – The Law, Regulations and Technical Information, itsababy
Regulation No. 44 Rev.1/Add.43/Rev.2, Agreement Concerning the Adoption of Uniform Technical Prescriptions for Wheeled Vehicles, Equipment and Parts, United Nations, 2008
http://www.safekids.org/our-work/news-press/press-releases/car-seat-inspections-offered.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Infant_car_seat
http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=800.0;wap2
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้ สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ […]
เมื่อรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่สถานะคุณแม่ตั้งครรภ์เต็มตัวแล้ว สิ่งแรกที่บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายแอบกังวลอยู่ไม่น้อย คงจะหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะจากประสบการณ์ตรงของการเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว บรรดาเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด มักจะวนเวียนมาถามว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินอะไร หรือสามารถกินอะไรได้บ้าง ยิ่งถ้าไม่มีอาการแพ้ท้อง ถือว่าโชคดีสองชั้น อยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าแน่นอน หรือแพ้ท้องแล้วก็ดันอยากจะกินอาหารที่ไม่ควรกินอีก เพราะโน้นก็อร่อย นี่ก็ของชอบ ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะมีผลกระทบต่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์รึเปล่า วันนี้คุณแม่เลยอยากจะแนะนำอาหารคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องใหม่ไม่ควรรับประทานให้ฟังว่า 1. อาหารที่มีรสจัดคุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เพราะระบบย่อยอาหารจะผิดปกติไปจากเดิม การกินอาหารรสจัดๆ ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด จะทำให้มีโอกาสปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ นำไปสู่อาหารเป็นพิษได้ง่าย 2. อาหารที่ก่อโรคไหลย้อนในช่วงตั้งครรภ์ โอกาสที่คุณแม่จะเป็นโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนโดยเฉพาะ อาหารทอด, อาหารจำพวกแป้งที่ต้องอุ่นซ้ำ, อาหารที่มีรสจัด, ชา, กาแฟ, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ชีส รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม เป็นต้น 3. อาหารที่กินแล้วท้องผูกต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า อาการท้องผูกกลายเป็นของคู่กันของคุณแม่ตั้งครรภ์ไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวารได้ง่าย คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก หรือลดปริมาณการกินให้น้อยลง แล้วหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อย่างผักและผลไม้แทน […]
คาร์ซีท คืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็กในขณะที่เดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีราคา ฟังก์ชั่น ที่แตกต่างกัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน ไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบไหนดีที่ลูกยอมนั่ง โดยเฉพาะคาร์ซีทแรกเกิด ที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายของเด็กบอบบางที่สุด ซึ่งการจะซื้อคาร์ซีทให้ปลอดภัย ต้องเลือกจากหลาย ๆ อย่าง เช่น เลือกประเภทคาร์ซีทให้เหมาะกับการใช้งาน เหมาะกับวัย ส่วนสูง และน้ำหนักของลูก วันนี้ Baygift จึงจะพาพ่อแม่ทุกคน มารู้จักกันว่า คาร์ซีทมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย คาร์ซีท ระบบติดตั้งมีกี่แบบ เป็นเรื่องที่ต้องดูเป็นอันดับแรก ว่ารถที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันสามารถติดตั้งคาร์ซีทได้ด้วยระบบใด ซึ่งการติดตั้งจะมีอยู่ 2 ระบบ ดังนี้… ระบบนี้สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกคัน แต่ขั้นตอนการติดตั้งค่อนข้างจะยุ่งยาก จึงต้องศึกษาคู่มืออย่างละเอียด หรือ ให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญช่วยติดตั้งให้เลย คือ ระบบการติดตั้งตามมาตรฐานยุโรป ติดตั้งง่าย ISOFIX จะมีในรถที่ผลิตในปี 2014 ขึ้นไป บางรุ่นที่เก่ากว่าปี 2014 ก็อาจจะมีเช่นกัน ดังนั้น ให้ลองสังเกตสัญลักษณ์ […]
คาร์ซีทออร์แกนิค เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยและฟังก์ชันต่างๆ ที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อคาร์ซีทแล้ว เนื้อผ้าของคาร์ซีทก็เป็นอีกปัจจัยที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด เนื่องจากผิวลูกน้อยบอบบางกว่าผิวผู้ใหญ่ถึงหลายเท่า มีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือติดเชื้อได้ง่าย เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ คุณพ่อคุณแม่ จึงต้องใส่ใจและพิจารณาวัสดุที่จะมาสัมผัสกับผิวลูกน้อยเป็นอย่างดี ผ้าฝ้าย Organic หรือผ้าที่ทำจากฝ้าย Organic 100% เป็นผ้าที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้ผ้าฝ้ายที่ได้มานั้น ปลอดจากสารพิษ และยาฆ่าแมลง ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำร้ายสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งองค์กรผู้บริโภคสินค้าออร์แกนิค (The Organic Consumers Association) ยังแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าออร์แกนิคคอตตอน หรือผ้าฝ้าย Organic 100% เป็นทางเลือกแรกอีกด้วย คาร์ซีทออร์แกนิค มีข้อดีอย่างไรบ้าง 1. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ จากข้อมูลในรัฐแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ระบุว่าในการปลูกฝ้ายด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปจะมีการใช้ยาฆ่าแมลง โดยเฉลี่ยต่อปีจะมีการมูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญ และผลการทดสอบยาฆ่าแมลงจำนวน 5 […]
“ครรภ์เป็นพิษ” หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ ถือเป็นภาวะไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นตัวคุณแม่เอง ครอบครัว รวมถึงคุณหมอสูติแพทย์ เนื่องจากหากคุณแม่ตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ จะมีโอกาสเสียชีวิตได้ค่อนข้างมาก โดยสถิติพบว่า10-15% ของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตเกิดจากภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีร้อยละ 2-8% ของสตรีตั้งครรภ์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ (ข้อมูลจากรพ.บำรุงราษฎร์) ฉะนั้นเพื่อไม่ให้คุณแม่ต้องมาเจอกับภาวะร้ายแรงนี้ ลองมาดูสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ และเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกัน หรือตรวจเช็กเพื่อรักษาได้ทันท่วงที ให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยปลอดภัยสุขภาพดีได้จนหลังคลอด ครรภ์เป็นพิษ ภาวะอันตรายในแม่ท้อง โดยภาวะครรภ์เป็นพิษที่มักพบส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์หลัง 20 สัปดาห์จนถึง 48 ชั่วโมงหลังคลอด แต่พบบ่อยคือหลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ แม่ท้อง รู้ก่อนรักษาได้ ชวนคุณแม่มาสังเกตอาการและสัญญาณต่างๆ ที่บอกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อาการหลักๆ ที่สำคัญแสดงถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่ การที่คุณแม่มี “ความดันโลหิตสูง” 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ร่วมกับตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมใน 24 ชั่วโมง และคุณแม่มีอาการ “บวม” ผิดปกติที่คุณหมอตรวจแล้วว่าไม่ได้บวมเพราะเป็นโรคไตหรืออื่นๆ รวมถึงมีอาการบวมที่มือ เท้าและใบหน้า ปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว อาเจียน คลื่นไส้ […]






