เลือกคาร์ซีทอย่างไรดี เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การที่ลูกน้อยยังไม่สามารถนั่งในรถได้อย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยธรรมดา การเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางของลูกน้อย วันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกน้อยและปลอดภัยที่สุดค่ะ
1. รู้จักประเภทของคาร์ซีท
ก่อนที่จะเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือประเภทของคาร์ซีทที่มีในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้:

คาร์ซีทสำหรับทารก (Rear-Facing Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จะติดตั้งหันหลังและรองรับศีรษะและคอของเด็กให้ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ

คาร์ซีทแบบหันหน้า (Forward-Facing Seat): ใช้ได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักประมาณ 9-18 กิโลกรัม ตัวคาร์ซีทจะหันหน้าไปข้างหน้าและมีเข็มขัดนิรภัยในตัว

คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ (Booster Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับเด็กที่โตขึ้น
2. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก

การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับวัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรองรับที่ดีในขณะนั่งในรถ หากเลือกคาร์ซีทผิดประเภทอาจทำให้ลูกไม่สามารถได้รับความปลอดภัยที่ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
- ทารก: เลือกคาร์ซีทที่รองรับการนอนและท่าทางของทารก เช่น คาร์ซีทแบบหันหลังที่มีเบาะหนานุ่มและปรับเอนได้
- เด็กวัยหัดเดิน: คาร์ซีทแบบหันหน้าไปข้างหน้า ซึ่งรองรับเด็กที่เริ่มนั่งได้โดยไม่มีปัญหากับการเคลื่อนไหว
- เด็กโต: เมื่อเด็กมีอายุ 4 ปีขึ้นไป คาร์ซีทบูสเตอร์ที่ช่วยเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ

ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีการทดสอบด้านความปลอดภัยผ่านมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน ECE R44/04 ECE R129/03 หรือมาตรฐาน FMVSS 213 ซึ่งการเลือกคาร์ซีทที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานความปลอดภัยจะช่วยให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า ลูกน้อยจะได้รับการปกป้องที่ดีที่สุดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
- โครงสร้างแข็งแรง: คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง เพื่อปกป้องลูกจากการชนกระแทก
- เบาะรองที่มีคุณภาพ: เบาะคาร์ซีทที่มีคุณภาพจะช่วยกระจายแรงกระแทกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- เข็มขัดนิรภัย: คาร์ซีทควรมีเข็มขัดนิรภัยที่สามารถปรับความยาวได้และล็อคแน่นหนา เพื่อให้ลูกน้อยนั่งได้อย่างปลอดภัย
4. เลือกคาร์ซีทที่ใช้งานง่าย

การใช้งานคาร์ซีทที่ง่ายและสะดวกจะช่วยให้แม่สามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาและความยุ่งยากในการติดตั้ง
- ติดตั้งง่าย: คาร์ซีทบางรุ่นมีระบบติดตั้งที่ง่าย เช่น ระบบ ISOFIX ที่สามารถติดตั้งคาร์ซีทเข้ากับรถได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง
- การปรับที่นั่ง: เลือกรุ่นที่สามารถปรับเบาะให้เหมาะสมกับการนั่งของลูกได้ เช่น ปรับเอนหลังสำหรับทารก หรือปรับเบาะและเข็มขัดให้เหมาะสมกับสรีระของเด็กโต
- การทำความสะอาด: เลือกรุ่นที่มีวัสดุที่ถอดออกได้และสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย เนื่องจากเด็กๆ มักทำอาหารหรือของเล่นหกเลอะเทอะได้เสมอ
5. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะกับงบประมาณ

คาร์ซีทมีหลากหลายราคา ตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาสูง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับฟังก์ชันและคุณสมบัติของแต่ละรุ่น หากงบประมาณจำกัด ควรเลือกคาร์ซีทที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดี แม้ว่าราคาจะไม่สูงมาก แต่ยังคงมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนและผ่านการรับรองมาตรฐาน
- คาร์ซีทที่ราคาไม่สูงมาก: เลือกรุ่นที่มีคุณสมบัติพื้นฐานและได้รับมาตรฐานความปลอดภัย เช่น คาร์ซีทที่ติดตั้งได้ง่ายและมีความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
- คาร์ซีทที่ราคาแพงขึ้น: บางรุ่นอาจมีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น ระบบระบายอากาศ เบาะนุ่มพิเศษ หรือฟังก์ชันปรับที่นั่งได้มากมาย
บทสรุป
การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องลูกน้อยจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังเป็นการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการเดินทางทุกครั้งที่ออกไปไหนมาไหน การเลือกคาร์ซีทที่ดีควรคำนึงถึงหลายปัจจัยทั้งเรื่องของประเภทการใช้งาน, ความปลอดภัย, ความสะดวกในการใช้งาน, และงบประมาณของคุณแม่ ด้วยการทำความเข้าใจและเลือกซื้อคาร์ซีทที่ดีที่สุด ลูกน้อยของคุณก็จะได้รับการดูแลและปกป้องที่ดีที่สุดในการเดินทางทุกครั้งค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
คุณแม่หลาย ๆ ท่านคงเคยดูคลิปทารกน้อยใส่ห่วงลอยน้ำ ฝึกน้ำดำ และฝึกลอยตัวอยู่ในน้ำกันใช่ไหมคะ เป็นคลิปที่น่าเอ็นดูมากเลย และหากลูกรักของเราได้ลองทำดูบ้างคงน่ารักมากแน่นอน แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าจะให้ลูกเริ่มเรียนว่ายน้ำได้ตอนไหน ใช้อุปกรณ์อะไร ปลอดภัยแค่ไหน แล้วจะเลือกโรงเรียนว่ายน้ำแบบไหนให้ลูกดี เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ ลูกทารกเริ่มเรียนว่ายน้ำได้เมื่อไร? เด็กทารกสามารถเรียนว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 3-4 เดือนขึ้นไป โดยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าร่างกายของลูกพร้อมแค่ไหน ให้ลองเริ่มใช้ห่วงยางสวมศีรษะของลูกเพื่อช่วยพยุงตัวในน้ำ เมื่อปล่อยลูกลงสระน้ำแล้วลูกสามารถลอยตัวได้โดยไม่กลัวน้ำเลย การฝึกแบบนี้ก่อนจะช่วยให้ลูกมีความเคยชินกับน้ำ ไม่กลัวน้ำ และเพื่อในอนาคตจะได้หัดว่ายน้ำได้อย่างสบาย หรือจะเริ่มฝึกหรือเรียนว่ายน้ำในช่วงวัย 1 ขวบขึ้นไป ก็เป็นวัยที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ลูกมีพัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น เข้าใจภาษาที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่สื่อสาร เริ่มควบคุมการเคลื่อนไหวแขนขาได้ดีขึ้นมากแล้ว สระน้ำแบบไหน ปลอดภัยต่อเด็กเล็ก สระน้ำระบบน้ำเกลือจะเป็นระบบควบคุมความสะอาดของน้ำด้วยเกลือธรรมชาติ มีค่า pH balance ในใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติของคน ทำให้ไม่ระคายเคืองต่อตาหรือผิวหนังของเด็กทารก สระน้ำระบบโอโซน จะเป็นระบบที่เอาก๊าซโอโซนมาบำบัดน้ำในสระ มีประสิทธิภาพสูง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ในเวลาอันสั้น และไม่มีสารเคมีตกค้าง ไม่ทำให้ดวงตาหรือผิวหนังทารกระคายเคือง ซึ่งสระระบบนี้ยังไม่ค่อยมีให้บริการมากนัก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่แข็งแรง สระน้ำควรจะควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ที่ประมาณ 30- 35 องศาเซลเซียส เพื่อให้ร่างกายของลูกสามารถปรับอุณหภูมิได้ง่าย ไม่ป่วย อุปกรณ์สำคัญเมื่อลูกเล็กต้องว่ายน้ำ เลือกโรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกแบบไหน ปลอดภัยเหมาะสม ข้อดี […]
แน่นอนว่าคุณแม่ทุกบ้านจะต้องตื่นเต้นกับการทานข้าวมื้อแรกของลูก แต่นอกจากความตื่นเต้นแล้ว การฝึกลูกน้อยให้มีวินัยในการรับประทานอาหารก็ถือเป็นงานหินชิ้นนึงเลยล่ะค่ะ สำหรับคุณแม่ๆ บ้านไหนที่กำลังหาวิธีฝึกลูกน้อยให้คุ้นชินกับการทานข้าวอยู่ล่ะก็ มาดูกันดีกว่าว่าเรามีวิธีดีๆ อะไรมาฝากกันบ้าง ฝึกลูกหม่ำข้าวด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องบังคับ 1. นั่งโต๊ะและเริ่มทานข้าวพร้อมกัน อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กมักจะชอบเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ นั่นแหละค่ะ เราลองเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวช่วยกันดีกว่า เพราะงั้นเวลาเราทานข้าว เราก็ควรให้ลูกน้อยของเรานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยเนอะ ให้เค้าเห็นว่าทุกคนมีความสุขในการรับประทานอาหาร เห็นเวลาเรานำช้อนเข้าปาก ให้เค้ารู้ว่าการทานข้าวเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำ และเค้าก็ต้องทำด้วยเหมือนกัน แม้ตอนแรกอาจจะมีร้องงอแงบ้าง แต่ก็อย่าไปยอมแพ้ค่ะ ทำบ่อยๆ ทำให้เป็นกิจวัตร เดี๋ยวเค้าก็จะชินไปเอง 2. ทานอาหารให้เป็นเวลา คุณแม่บางบ้านอาจจะยุ่งหัวหมุนกับทั้งงานประจำและงานบ้านจนเผลอไม่ได้ทานข้าว อ๊ะๆ ถ้าคุณแม่กำลังเป็น Working Woman แบบนี้อยู่ เราขอให้คุณแม่วางงานซักนิด แล้วมาทานข้าวกับลูกน้อยเมื่อถึงเวลา เพราะเราควรฝึกให้เค้าคุ้นเคยกับเวลาที่ต้องทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น คุณแม่ก็ควรจะให้เค้าทานเวลาเดิมๆ นอกจากจะสร้างนิสัยให้เค้าแล้ว ยังเป็นการปรับระบบย่อยอาหารภายในร่างกายของลูกน้อยอีกด้วยน้า ถ้าเค้าคุ้นเคยกับเวลาแล้ว ทีนี้ล่ะ ไม่ต้องเรียกเลย พอถึงเวลาเค้าก็จะหิวขึ้นมาเอง 3. เปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลาย เด็กหลายๆ คนเบื่อข้าว อมข้าว เพราะอาจจะเป็นเรื่องของรสชาติที่ไม่ถูกปาก หรือเมนูอาจจะซ้ำซากจำเจจนเกินไป การเปลี่ยนเมนูอาหารให้หลากหลายเนี่ย นอกจากจะช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังทำให้เค้าเพลิดเพลินไปกับเมนูใหม่ๆ ด้วยนะ […]
สอนดูแลลูกตั้งแต่แรกเกิดแบบจับมือทำ โดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี เพราะการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย..#BabyGift เข้าใจและมองเห็นถึงความสำคัญ จึงได้ร่วมกับ พี่กัลนมแม่ กลุ่มแม่และเด็ก คลินิกนมแม่ สรุปเทคนิคดูแลทารกแรกเกิด โดยผู้เชี่ยวชาญ #พี่กัลนมแม่ จากในงาน 𝐌𝐨𝐦𝐦𝐲’𝐬 𝐋𝐨𝐯𝐞 𝐌𝐚𝐠𝐢𝐜 จะมีอะไรบ้าง ? ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ดูแลการกินของทารก #นมแม่ดีที่สุด ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงติดเชื้อต่างๆ ได้ ถ้าลูกไม่ยอมดูดเต้าให้แม่ใช้เครื่องปั๊มนม และขวดนมแรกเกิดป้อนนมแม่ให้กับลูกน้อยแทน 2. หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตลูกน้อย ปกติแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ น้ำหนักลูกน้อยจะเพิ่มขึ้น วันละ 30 กรัม หากน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่านี้ ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ค่ะ 3. สังเกตการขับถ่ายของลูก อุจจาระแต่ละสีบอกสุขภาพลูกได้ หากมีสีขาวหรือแดงเข้ม หรือหากมีปัสสาวะขุ่น มีตะกอน อาจมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที 4. การนอนของทารก ท่านอนที่ดีที่สุดของทารก คือ การนอนหงาย เด็กแรกเกิดควรนอน 16-18 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ Growth Hormone […]
หากคุณกำลังเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายและกังวลว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้างก่อนวันคลอด การรู้ว่าของเตรียมคลอดมีอะไรบ้างจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่วางแผนได้อย่างเป็นระบบ ไม่ต้องเร่งรีบในนาทีสุดท้าย การมีเช็กลิสต์ของเตรียมคลอดที่ครบถ้วนจะทำให้การต้อนรับสมาชิกใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ของเตรียมคลอดมีอะไรบ้างสำหรับทารก การเตรียมของใช้สำหรับลูกน้อยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสบายเป็นหลัก ทารกแรกเกิดมีผิวที่บอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ของเตรียมคลอดมีอะไรบ้างสำหรับคุณแม่ คุณแม่ต้องเตรียมของใช้ที่จำเป็นทั้งระหว่างการคลอดและหลังคลอด เพื่อความสะดวกสบายในการฟื้นฟู ของเตรียมคลอดมีอะไรบ้างสำหรับคุณพ่อ คุณพ่อเป็นกำลังใจสำคัญและต้องเตรียมพร้อมอยู่เคียงข้างคุณแม่ตลอดการคลอด การเตรียมของใช้ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณพ่อดูแลครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมก่อนคลอด เอกสารเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับการเข้าโรงพยาบาลและการทำเนียบหลังคลอด อย่าลืมจัดเตรียมให้ครบถ้วน ของใช้หลังคลอดสำหรับคุณแม่ หลังการคลอดลูก คุณแม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษทั้งร่างกายและจิตใจ การเตรียมสินค้าแม่และเด็กที่เหมาะสมจะช่วยในการฟื้นฟู ของใช้หลังคลอดสำหรับทารก ทารกแรกเกิดต้องการการดูแลที่ละเอียดอ่อน การมีเช็กลิสต์ของเตรียมคลอดสำหรับลูกจะช่วยให้การดูแลเป็นไปอย่างราบรื่น สรุปบทความ การรู้ว่าของเตรียมคลอดมีอะไรบ้างและการมีเช็กลิสต์ของเตรียมคลอดที่ครบถ้วนจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เตรียมตัวได้อย่างมั่นใจ การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าทั้งของใช้และจิตใจจะทำให้การต้อนรับสมาชิกใหม่เป็นประสบการณ์ที่ดี BabyGift พร้อมเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจความต้องการของครอบครัวใหม่ เราให้คำปรึกษาด้วยใจจริง ไม่เร่งขาย เพราะเชื่อว่าการเตรียมตัวที่ดีคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย
วันนี้ BabyGift จะมาแชร์วิธีการเลือกคาร์ซีทแรกเกิดในฉบับของคุณแพรว เพชรแพรว อัครเตชวาทิน หรือ แม่ PRAEW จากเพจ PRAEW ให้ดูกันค่ะ เพื่อเป็นแนวทางให้แม่ๆทุกคน ที่กำลังมองหาคาร์ซีทแรกเกิดดีๆสักตัวให้เจ้าตัวน้อยอยู่ แต่ไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี ต้องให้ความสำคัญตรงไหนเป็นพิเศษ วันนี้เราสรุปมาให้แล้วค่ะ 6 เทคนิคเลือกซื้อคาร์ซีทแรกเกิดในแบบของ แม่ PRAEW 1. วัสดุต้องดี แข็งแรง แม่ PRAEW ให้ความปลอดภัยมาเป็นอันดับ 1 โครงสร้างต้องมีมาตรฐาน วัสดุต้องดี แข็งแรงทนทาน ไม่ก๊อกแก๊ก และต้องเข้าใจด้วยค่ะว่าในแต่ละส่วนของร่างกายเด็ก หรือแรงที่เด็กจะได้รับจากการเกิดอุบัติเหตุใช้วัสดุป้องกันที่แตกต่างกันในการปกป้องตัวเด็ก เช่น แรงกระแทกแรงๆ EPS Foam จะป้องกันได้ดีกว่า ส่วนแรงกระแทกเบาๆ แผ่นโพลี่ยูรีเทน จะช่วยป้องกันได้ดีกว่า คาร์ซีทที่เมอใช้อยู่ มีวัสดุที่หลากหลายมาก มีทั้ง EPS Foam ที่เป็นวัสดุโครงสร้างหลัก และแผ่นโพลี่ยูรีเทนที่เสริมเข้ามาบริเวณที่นั่ง ศีรษะและสะโพกทั้ง 2 ด้าน เรียกได้ว่าทุกส่วนออกแบบมาให้รองรับทุกส่วนอย่างดีที่สุดค่ะ อีกสิ่งที่แพรวรู้มา คือเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ เด็กที่อยู่บนคาร์ซีทจะได้รับอันตรายจากแรงกระแทกซ้ำๆ […]
ไขข้อสงสัยที่สาวๆอยากรู้ “แม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม?” วันนี้ Baby Gift มีคำตอบค่ะ ปัจจุบันการศัลยกรรมเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงและเข้าถึงทุกเพศทุกวัยทั่วโลก โดยเฉพาะการอัพไซส์ แม่เสริมหน้าอก เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นสาวๆจะมีหน้าอกที่สวยงามและขนาดใหญ่ขึ้นตามความต้องการ รวมถึงมีร่องอกที่ชิดและชัดเจนกว่าเดิม ส่งผลให้สาวๆเกิดความมั่นใจในรูปร่างตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อสาวๆนิยมหันมาเสริมหน้าอก กันมากขึ้นจนเริ่มมีการตั้งคำถามว่า คุณแม่เสริมหน้าอก ให้นมลูกได้ไหม? คำตอบคือ ได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถให้นมลูกได้ตามปกติและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะปัจจุบันการเสริมหน้าอกใช้เทคนิคใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปใต้หรือเหนือกล้ามเนื้อเต้านม ซึ่งอยู่คนละส่วนกับที่ใช้ผลิตน้ำนม และไม่ได้มีการตัดท่อน้ำนมหรือตกแต่งบริเวณหัวนม ส่วนในกรณีที่คุณแม่เสริมหน้าอกลังเลเรื่อง คุณแม่เสริมหน้าอก สามารถปั๊มนมได้ไหม? คำตอบคือ ทำได้ค่ะ คุณแม่ที่เสริมหน้าอกมาแล้ว สามารถปั๊มนมได้ตามปกติ โดยเลือกใช้เครื่องปั๊มนมที่มีคุณภาพ รองรับการปั๊มนมสำหรับคนที่เสริมหน้าอก อย่างไรก็ตาม การเสริมหน้าอกควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และเพื่อความสบายใจของคุณแแม่ควรปรึกษาคุณหมอในการวางแผนมีลูกเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเป็นกรณีไป ได้คำตอบแบบนี้แล้วคุณแม่มั่นใจหายห่วง เตรียมพร้อมรับมือเตรียมตัวเป็นคุณแม่กันดีกว่าค่ะ






