พวกเรารักคาร์ซีท!!!

ไม่นานมานี้ดิฉันเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับลูกๆทั้งสนุกสนานและปลอดภัยตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงจุดมุ่งหมายเลยค่ะรู้สึกขอบใจตัวเองที่กัดฟันให้ลูกนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำให้ขับรถได้อย่างมีสมาธิ แต่กว่าจะถึงวันนี้ลูกก็เคยร้องไห้ประท้วงจนแหวะใส่เก้าอี้ตัวเองมาแล้ว

ดิฉันใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวร้องได้ร้องไป แค่ 15 นาทีเท่านั้น คลื่นลมก็สงบ ตั้งแต่นั้นมาลูกๆเรียนรู้เลยว่า เวลาขึ้นรถต้องไปนั่งที่ “เก้าอี้วิเศษ”  ของตัวเองและนั่งทุกครั้งแม้ระยะทางจะใกล้หรือไกลเพราะอุบัติเหตุอาจเกิดจากภัยในรถ เช่น ลูกทะเลาะกันที่เบาะหลัง (เจอมาแล้ว) หรือปีนป่ายจนได้รับอันตราย คุณแม่ท่านไหนที่ยังไม่มั่นใจในคาร์ซีท carseat ว่าจะช่วยวันยุ่งๆของคุณแม่ได้มากน้อยแค่ไหน ลองเคล็ดลับต่อไปนี้ดูสิคะ แล้วลูกคุณจะรัก “เก้าอี้วิเศษ” ของตัวเองขึ้นเยอะเลย

  • สร้างความผูกพันกับเก้าอี้ อนุญาตให้ลูกเอาสติ๊กเกอร์มาตกแต่งเก้าอี้ เอาให้ถูกใจเลยเพราะต้องนั่งไปอีกนาน
  • มอบรางวัล บอกลูกว่า เราจะออกเดินทางได้ก็ต่อเมื่อล็อกสายรัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วลูกจะรีบทำตัวน่ารักเพราะอยากไปเที่ยว แต่ถ้ากำลังพาไปหาหมอ อาจให้ขนมเป็นรางวัลได้
  • เบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าโยเยนัก ชวนคุยเรื่องการ์ตูนที่ลูกกำลังอินดีกว่า แค่นี้ก็เผลอจดจ่อกับการโม้เรื่องเจ้าหญิงกับฮีโร่ จนไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองถูกจับนั่งเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว (มุกนี้ไม่เหนื่อย แถมสนุกดีด้วย)
  • เตรียมของเล่นแก้เบื่อ ควรมีของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในรถ แนะนำว่าควรเป็นของเบาๆ และไม่แข็ง เช่น หนังสือผ้า เพราะคุณอาจโดนลูกเอาของในมือปาใส่ขณะขับรถ หรือเลือกเปิดเพลงที่ลูกชอบแล้วร้องไปด้วยกันก็ได้
  • หยุดพักบ้าง หากต้องเดินทางไกลควรเลือกใช้เก้าอี้ปรับนอนเอนได้ และจอดพักสักครู่เพื่อให้ลูกได้ยืดเส้นยืดสาย

เคล็ดลับก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท

อายุประเภทของคาร์ซีทคำแนะนำทั่วไป
เด็กอ่อนคาร์ซีทสำหรับเด็กอ่อนเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และมีน้ำหนักน้อยกว่า 9 kg.
– ต้องนั่งคาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ เพราะคอยังไม่แข็งพอรับแรงกระแทกขณะรถวิ่ง
เด็กก่อนวัยเรียนเก้าอี้แบบหันหน้าออกเด็กอายุ 1 ปี ขึ้นไป หรือหนัก 9 kg. ขึ้นไป
เด็กเล็กวัยเรียนเบาะรองนั่งเด็กควรสูงอย่างน้อย 120 cm.
และต้องมั่นใจว่าเข็มขัดนิรภัยพาดที่ไหล่และต้นขาของเด็กอย่างพอดี
เด็กโตเข็มขัดนิรภัยเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป และต้องสูงพอที่จะนั่งห้อยขาบนเบาะได้
– เข็มขัดนิรภัยต้องพาดอย่างพอดีโดยไม่รัดคอหรือติดที่พุง และต้องระวังไม่ให้เด็กเอามือ ออกมานอกสายนิรภัยด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ Real-Parenting

สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับคาร์ซีทเพิ่มเติมได้จากผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและแนะนำได้อย่างถูกต้อง

หรือช่องทางออนไลน์ :

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

” ลูกติดเต้า ไม่ยอมใช้ขวดนมเลย ทำอย่างไรดี ? เริ่มให้ลูกหย่านมจากเต้า มาฝึกใช้ขวดนมเมื่อไหร่ดี ? ” อีกคำถามที่แม่ๆหลายคนมักเจอตอนลูกน้อยอายุ 1 ขวบ โดยเฉพาะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกน้อยด้วยนมจากเต้าเพียงอย่างเดียว วันนี้ BabyGift มีเคล็ดไม่ลับมาฝากแม่ๆกันค่ะ ต้องขอเกริ่นก่อนว่า ความจริงแล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ด้วยคุณค่าของน้ำนมความอบอุ่นและอื่นๆ แต่เมื่อลูกรักโตขึ้น หลายคนที่ดูดนมแม่จากเต้าจนติด หรือที่เรียกว่า ” ลูกติดเต้า “  งอแงไม่ยอมกินนมจากขวด เวลาที่คุณแม่ต้องออกไปทำงานหรืออยู่นอกบ้าน การให้นมแม่จากขวดนม หรือการเริ่มหย่านมแม่ มักจะเกิดปัญหาตามมาเพราะลูกไม่ยอมกินนมจากขวด งอแงร้องไห้  จนเกิดปัญหาการกินกับลูกได้ และปัญหาการใช้ชีวิตของคุณแม่เอง ฉะนั้นมาดูกันเลยค่ะว่าจะมีเทคนิคแบบไหน ที่สามารถทำให้ลูกได้ฝึกกินนมจากขวดได้ โดยไม่หักดิบ ไม่ทำให้ลูกร้องไห้งอแง หงุดหงิดเสียใจ คุณแม่เองก็ไม่ต้องเครียดไปด้วย ตามมาดูกันเลยค่ะ 8 ทริค ฝึกลูกดูดนมขวดแบบแฮปปี้ 1 )  ค่อยๆ ฝึก ไม่บังคับลูกเพราะการดูดขวดคือทักษะใหม่ของลูกรักที่เคยแต่ดูดนมแม่จากเต้ามาตลอด จนกลายเป็นว่า ลูกติดเต้า รวมถึงวิธีการดูดนมจากขวดกับการดูดนมจากเต้าก็มีความแตกต่าง  จึงต้องอาศัยเวลาให้ลูกปรับตัวและฝึกฝน รวมถึงลูกรักเองก็ต้องใช้สมาธิในการดูดมากขึ้นในช่วงแรก ฉะนั้นการทำความเข้าใจไม่บังคับ และให้ลูกได้ลองฝึกในสิ่งแวดล้อมที่เงียบและสงบค่อย […]

การเลือกคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยของคุณทำไมถึงต้องใช้คาร์ซีท carseat ที่มีความปลอดภัยจึงจำเป็นต่อคุณและลูกน้อยล่ะ? หลายประเทศได้ออกกฏหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของคาร์ซีท carseat สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ขวบ เนื่องจากคุณจะต้องใช้คาร์ซีท carseat ที่มีความปลอดภัยเพื่อป้องกันลูกน้อยจากอันตราย หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ขณะที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้โดยสารมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏจราจร และหากคุณเดินทางพร้อมกับลูกน้อย โดยที่คุณจะต้องอุ้มลูกไว้ที่ตัก ก็อาจจะมีโอกาสที่คุณไม่สามารถที่จะอุ้มลูกได้อย่างมั่นคงและเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นลูกของคุณก็มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บสูงค่ะ ดังนั้นการมีคาร์ซีท ที่ปลอดภัยในรถยนต์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยลดการบาดเจ็บของลูกน้อยได้ ทั้งนี้พึงระวังไว้ว่าการใช้คาร์ชีทที่ไม่ถูกต้อง อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่เด็กมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณควรต้องเลือกใช้คาร์ซีท carseat ให้ถูกต้องพร้อมกับศึกษาการใช้งานอย่างถูกวิธีด้วยนะค่ะ หากไม่มีคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยแล้ว อัตราการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า จากสถิติได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบนั่งบนรถยนต์ที่ปราศจากคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยและประสบอุบัติเหตุ อัตราการเสียชีวิตจะมากกว่าการนั่งบนรถยนต์ที่ติดตั้งคาร์ซีท carseat ที่ปลอดภัยถึง 4 เท่า***ข้อควรระวัง เมื่อใช้งานคาร์ซีท carseat ไม่ถูกวิธี จากผลสำรวจเมื่อปี 2008 โดยองค์การทางรถยนต์ประเทศญี่ปุ่น ( Japan Automobile Federation :JAF) เกี่ยวกับการใช้งาน คาร์ซีท carseat พบว่า 32.7 % ของคาร์ซีท carseat ที่ใช้งานนั้นติดตั้งอย่างไม่แน่นหนา ขณะที่อีก 67.3 % นั้นถูกพบว่ายังใช้งานได้ไม่ถูกต้องนัก ไม่ว่าจะเป็นการรัดสะโพกที่หลวมเกินไป หรือ การใช้งานที่หัวเข็มขัดที่ใช้ยึดที่นั่งไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกใช้คาร์ซีท carseat ที่ถูกต้องแล้ว แต่หากการใช้งานไม่ถูกวิธีก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเด็ก เพื่อลดปัญหาดังกล่าว เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานคาร์ซีทให้ถูกต้อง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อคาร์ซีท คุณควรศึกษาข้อมูลว่า คาร์ซีท […]

ทารกแรกเกิดถึง 28 วัน เป็นช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวอย่างมาก จากที่อยู่ในท้องคุณแม่อย่างอบอุ่นถึง 9 เดือน ออกมาเจอสภาพแวดล้อมภายนอก คุณแม่จึงจำเป็นที่ต้องดูแลอย่างอ่อนโยนเลยนะคะ อย่าง วิธีอาบน้ำทารก เรื่องดูแลทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษเลยค่ะ วิธีอาบน้ำทารก ควรอาบน้ำวันละกี่ครั้ง คุณแม่มือใหม่ คุณพ่อมือใหม่ คงมีคำถามคาใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหมคะ ว่าทารกแรกเกิดควรอาบน้ำเช้า-เย็นหรือไม่ จริง ๆ แล้วเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 เดือน ควรจะอาบแค่วันละ 1 ครั้ง อาบในช่วงสายหรือบ่ายของวันเลยค่ะ และเด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไปสามารถอาบน้ำได้วันละ 2 ครั้ง ส่วนการสระผมเด็กแรกเกิด – 2 เดือน สระเพียง 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้นค่ะ อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด อ่างอาบน้ำใส่น้ำอุ่น อ่างอาบน้ำเด็ก ควรจะกันกระแทกได้ดี อาจจะมีแผ่นวัดอุณหภุมิน้ำ ช่วยทำให้คุณแม่หรือพี่เลี้ยงเตรียมน้ำให้น้องได้ง่าย ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมกับสภาพผิวทารก สบู่เหลวอาบน้ำเด็กแรกเกิด ต้องมีความอ่อนโยน ค่า pH […]

“การจะมีลูกซักคนไม่ใช่เรื่องง่าย” คุณแม่ๆ อาจจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้าง เอาจริงๆ เราก็จะไม่ค่อยเก็ทฟีลกันเท่าไหร่ จนได้มามีลูกเป็นของตัวเอง อุปสรรคแรกที่ต้องเจอ ซึ่งเรียกได้ว่าหนักสำหรับแม่ๆ ทั้งหลายก็คือ การใช้ชีวิตไปในแต่ละวันพร้อมกับอาการ แพ้ท้อง อาการ แพ้ท้องไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ทุกคนหรอกนะคะ หรือคุณแม่บางคนอาจจะไม่ได้แพ้ท้องในท้องแรก แต่ไปแพ้ท้องในท้องสองก็ได้ เพราะงั้น ถ้ามีอาการนี้อยู่ หรือกลัวว่าจะมี เราลองมาดูเคล็บลับง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งหมอ ที่จะมาช่วยบรรเทาอาการแพ้กันดีกว่า 1. กลิ่นหอมสดชื่นเบาๆ ช่วยได้ เป็นปกติของทุกคนมั้ยคะ ที่เวลาเราได้กลิ่นอะไรน่าเวียนหัวแล้วรู้สึกเหมือนจะอาเจียน บางคนไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมฉุน บางคนไม่ชอบกลิ่นธูป เพราะฉะนั้นเรื่องกลิ่นก็มีผลกับอาการแพ้ท้องเช่นเดียวกันค่ะ สิ่งสำคัญคือคุณแม่ควรจะอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท หากลิ่นหอมๆ ที่มีความสดชื่นมาไว้ใกล้ๆ กลิ่นที่สดชื่นเช่นนี้ก็จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกเวียนหัวน้อยลง แล้วก็สร้างความผ่อนคลายให้ได้อีกด้วย 2. ดื่มน้ำเป็นประจำ อาการแพ้ท้องส่วนมากก็จะมาในรูปแบบของการอาเจียน เพราะงั้นเราก็จะเสียน้ำไปเยอะมาก สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ให้ดื่มน้ำเข้าไปทดแทน เพราะไม่งั้นอาจจะเกิดอาการขาดน้ำ ผิวหนังแห้งแตก หรือหน้ามืดได้ค่ะ นอกจากนี้การดื่มน้ำก็ยังช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่น มีกำลังในระหว่างวันขึ้นมาบ้าง 3. ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำขิงร้อนๆ ต่อจากข้อข้างบน น้ำที่เราแนะนำก็จะเป็นน้ำอุ่นๆ หรือถ้าใครไม่ชอบทานน้ำอุ่นๆ ก็อาจจะลองเปลี่ยนเป็นน้ำขิงร้อนๆ ก็ได้นะคะ เพราะขิงเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะช่วยลดอาการวิงเวียนและคลื่นไส้ได้เป็นอย่างดี แถมน้ำขิงยังช่วยกระตุ้นน้ำนมหลังคลอดได้ด้วยนะ […]

การเป็นแม่มือใหม่อาจจะเป็นเรื่องที่ทั้งสนุกและท้าทายอย่างมาก สำหรับแม่มือใหม่หลายๆ คนที่เพิ่งมีลูกคนแรก ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้รู้สึกเครียดและสับสน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะทุกปัญหามีวิธีการจัดการที่สามารถทำได้ทันที วันนี้เรามี 5 ปัญหาที่แม่มือใหม่เจอบ่อย พร้อมวิธีแก้ไขที่ได้ผลทันทีมาฝากค่ะ 1. ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน หนึ่งในปัญหาที่แม่มือใหม่มักเจอบ่อยคือ ลูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืน ตื่นบ่อย หรือร้องไห้จนทำให้แม่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นี่อาจเกิดจากการที่เด็กยังไม่คุ้นเคยกับการนอนตอนกลางคืน หรือยังปรับตัวไม่ได้กับตารางเวลา วิธีแก้ไข: 2. ลูกไม่ยอมกินนม/อาหารเสริม หลายๆ แม่มือใหม่มักจะพบว่า ลูกไม่ยอมกินนมแม่หรือนมขวด หรือแม้กระทั่งปฏิเสธอาหารเสริม แม้จะพยายามหลายครั้งแล้วก็ตาม วิธีแก้ไข: 3. ลูกร้องไห้ไม่หยุด หนึ่งในปัญหาที่ท้าทายมากสำหรับแม่มือใหม่คือการที่ลูกร้องไห้ไม่หยุด ซึ่งบางครั้งอาจทำให้แม่รู้สึกวิตกกังวลและไม่รู้วิธีการช่วยลูก วิธีแก้ไข: 4. ปัญหาน้ำนมไม่พอ แม่มือใหม่หลายคนจะมีความกังวลเรื่องน้ำนมไม่พอให้ลูกดื่ม ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดหรือการให้นมไม่สม่ำเสมอ วิธีแก้ไข: 5. รู้สึกเครียดหรือเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูก การเป็นแม่มือใหม่ที่ต้องดูแลลูกอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดความเครียดและรู้สึกเหนื่อยล้า ทำให้บางครั้งแม่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีพอ วิธีแก้ไข: บทสรุป ปัญหาที่แม่มือใหม่เจอบ่อยนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยการมีความรู้และวิธีการที่ถูกต้อง อย่าลืมว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่การแข่งกับเวลา แต่คือการเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องกังวลหรือเครียดเกินไป ขอให้แม่มือใหม่ทุกคนมีความสุขกับการเลี้ยงดูลูกอย่างเต็มที่ และรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพและความสุขของลูกค่ะ!

การทำความสะอาดและ ฆ่าเชื้อขวดนม เป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจมาก ๆ ไม่แพ้ขั้นตอนการ “เลือกขวดนม” และเลือกน้ำยาสำหรับ “ล้างขวดนม” เลยค่ะ เพราะลูกน้อยเบบี๋วัยแรกเกิดยังไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคต่าง ๆ เหมือนผู้ใหญ่ การละเลย ไม่ใส่ใจในขั้นตอนการฆ่าเชื้อขวดนมนี้ อาจส่งผลให้ลูกน้อยเจ็บป่วยจากเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นได้ จากแต่เดิมวิธี ฆ่าเชื้อขวดนม ที่คุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่าคือวิธีการ “ฆ่าเชื้อด้วยการต้ม” ซึ่งต้องใช้เวลานานเกินครึ่งชั่วโมง เพื่อรอให้น้ำร้อนถึงจุดเดือดที่จะสามารถฆ่าเชื้อได้ ซึ่งวิธีนี้ก็ยังทำให้ขวดนมเสื่อมสภาพเร็วอีกด้วย ปัจจุบันจึงมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกคุณแม่ในการฆ่าเชื้อขวดนม ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน และเพิ่มความมั่นใจในเรื่องของการทำความสะอาดฆ่าเชื้อขวดนมได้มากขึ้น มีวิธีใดบ้างนั้นเรามาดูกันค่ะ 1.การฆ่าเชื้อด้วยเครื่องนึ่งไฟฟ้า การฆ่าเชื้อด้วยการนึ่ง ถือเป็นวิธีการที่ง่าย และใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการต้ม เพียงแค่เติมน้ำตามปริมาณที่กำหนด วางฐานรองนึ่งให้เข้าที่ นำขวดนมที่ถอดชิ้นส่วนล้างอย่างสะอาดแล้ว มาวางคว่ำลง แล้วปิดฝากดปุ่มให้เครื่องทำงาน เครื่องจะทำให้น้ำที่เราเติมไปเดือดและละเหยไอน้ำให้ลอยขึ้นไปฆ่าเชื้อ หลังจากเครื่องทำงานเสร็จ เพียงนำที่คีบขวดนมออกมามาผึ่งให้แห้งก็สามารถนำไปใช้งานต่อได้อย่างสบายใจค่ะ ข้อดี  – สะดวก ใช้งานง่าย และเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก และเป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ในบ้านน่าจะคุ้นเคยกันดีข้อเสีย  – ต้องหมั่นล้างคราบตระกรันบริเวณถาดใส่น้ำด้านล่างให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดเชื้อรา และเชื้อโรคบางชนิดแอบแฝงได้ 2.การฆ่าเชื้อด้วยไมโครเวฟ วิธีนี้ถือเป็นหลักการเดียวกับเครื่องนึ่งไฟฟ้า คือเป็นการทำให้น้ำเดือดและละเหยเป็นไอน้ำขึ้นมาฆ่าเชื้อ เหมาะสำหรับบ้านที่มีเครื่องไมโครเวฟอยู่แล้ว หรือผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ เนื่องจากมีน้ำหนักเบา […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages