จุกนมคอแคบ-คอกว้าง ต่างกันยังไง เลือกแบบไหนดี?

หากคุณแม่กำลังเลี้ยงลูกอยู่บ้านตลอดเวลา และให้นมแม่แก่ลูกน้อยแบบ 100% อยู่  คงจะยังไม่ต้องหาข้อมูลหรือกังวลกับการเลือกซื้อขวดนมหรือจุกนมให้ลูกมากนักเพราะยังไม่ได้ใช้ แต่เมื่อไรที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน ไปทำธุระข้างนอก หรือต้องให้นมแม่กับลูกด้วยขวดนมแล้ว สิ่งที่ต้องนึกถึงคือการเลือกขวดนมและจุกนมที่จะช่วยให้ลูกกินนมแม่ได้เต็มอิ่ม สบายท้อง ไม่ดูดลมเข้าไปและไม่เสี่ยงต่อการแน่นท้อง หรือร้องโคลิก

และที่สำคัญจุกนมที่เลือกให้ลูกนั้นควรจะมีคุณสมบัติที่คล้ายการดูดจากเต้านมแม่ เพื่อให้ลูกน้อยไม่สับสนระหว่างเต้านมกับขวดนม ยอมกินนมแม่จากขวด และยอมกลับมากินนมแม่จากเต้าคุณแม่ได้เสมอ  เราจึงมาแนะนำให้คุณแม่รู้จักกับจุกนมคอแคบ และจุดนมคอกว้าง เพื่อให้คุณแม่หลายๆ ท่านที่ยังไม่รู้จัก ได้เห็นถึงความแตกต่าง และตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสม ถูกใจ ลูกน้อยอิ่มนมได้เต็มที่โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมาฝากกัน

ชวนแม่เรียนรู้เรื่องจุกนมลูก

เพราะลูกน้อยวัยทารกจะเคยชินกับการกินนมจากอกคุณแม่  เมื่อต้องมากินนมจากขวดจึงอาจสับสนและมีปัญหา คุณแม่จึงควรพิถีพิถันพิจารณาเลือกใช้จุกนมที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยดูดนมได้อย่างสะดวก ปลอดภัย โดยควรศึกษาเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้  ขนาดของจุกนมที่แตกต่างว่าเหมาะกับลูกวัยไหน  วิธีทำความสะอาดและการเก็บรักษาจุกนมให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานเสมอ

เรื่องน่ารู้ของ ปลายจุกนม เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะในการใช้งาน นั่นคือ
– ปลายจุกนมเป็นรูวงกลม มักเป็นรูจุกนมที่ช่วยให้น้ำนมไหลได้ง่าย คือแม้ลูกจะไม่ดูด น้ำนมก็ไหลผ่านออกได้จึงเป็นจุกนมที่ช่วยให้ลูกดูดนมง่าย ไม่ต้องใช้แรงเยอะ
– ปลายจุกนมเป็นรูตัว Y (Three-Cut) เป็นจุกนมที่หากไม่ดูดนมจะไม่ไหล ต้องใช้แรงดูดของลูกให้น้ำนมไหลผ่านออกมา (ยกเว้นเป็นจุกนมสำหรับเด็กที่มีภาวะพิเศษดูดนมเองไม่ได้ จะมีการทำให้น้ำนมไหลออกได้ง่ายขึ้น)
– ปลายจุกนมเป็นรูกากบาท (Cross-Cut) มักเป็นจุกนมที่ต้องใช้แรงดูดเหมือนรูตัว Y คือหากลูกไม่ดูดนมจะไม่ไหล  น้ำนมจะออกมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงดูดของลูกเอง ช่วยป้องกันอาการสำลักให้ลูกน้อยได้นอกจากนี้รูของปลายจุกนม จะมีขนาดของรูที่เล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับไซส์ของจุกนมนั้นๆ เช่น จุกนมไซส์ L ก็จะมีปลายรูที่ขยายใหญ่หรือกว้างกว่า จุกนมไซส์ m และไซส์ S นั่นเอง

วัสดุที่ใช้ทำจุกนม ปัจจุบันจุกนมสำหรับเด็กส่วนใหญ่จะผลิตมาจาก ซิลิโคน และยาง (พารา) ซึ่งจุกนมซิลิโคนจะมีสีขาวใส มีเนื้อที่แน่น มีความทนทานและคงรูปเดิมได้นาน แม้ผ่านความร้อนหลายครั้งเนื่องจากทนความร้อนได้ดี  ส่วนจุกนมจากยางพารา จะมีสีเหลืองอมน้ำตาล มีความนิ่มและยืดหยุ่นมากกว่า แต่อายุการใช้งานจะสั้น

ขนาดของจุกนม โดยทั่วไปจะมี 3 ขนาด คือ
– Size S หรือ SS เหมาะสำหรับทารกแรกเกิด จนถึง 3 เดือน
– Size M เหมาะสำหรับลูกน้อยอายุ 3 – 6 เดือน
– Size L เหมาะสำหรับลูกน้อยอายุ 6 เดือนขึ้นไปสาเหตุที่ต้องเลือกขนาดของจุกนมที่มีรูระบายน้ำนมแตกต่าง เนื่องจากลูกทารกจะดูดนมได้ช้าและกินได้ทีละน้อย เพราะกล้ามเนื้อในช่องปากและการดูดกลืนยังไม่แข็งแรง หากรูจุกนมกว้างหรือจุกนมใหญ่เกินไป อาจทำให้ลูกสำลักจนเป็นอันตรายได้ และนอกเหนือจากขนาดจุกนมเหล่านั้นแล้ว ก็ยังมี จุกนมพิเศษ ที่เหมาะกับเด็กที่มีปัญหาการดูดนม เช่น มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ มีโรคหัวใจหรือโรคอื่นๆ ที่ทำให้เด็กไม่มีแรงดูดนม หรือยังดูดนมเองได้ไม่ดีอีกด้วย

รูปร่างของจุกนม
– จุกนมปลายกลมมน เป็นจุกนมที่มักเห็นกันทั่วไป คือมีปลายจุกกลมมน รูปทรงระฆัง
– จุกนมปลายแบนเรียบ มีคอและฐานกว้าง เวลาลูกดูดจะให้ความรู้สึกคล้ายดูดนมจากเต้านมแม่
– จุกนมปลายแหลมแบน เป็นชนิดที่ถูกออกแบบมาให้รองรับเพดานปาก เหงือก และลิ้นของทารก โดยปลายที่แบนออกจะวางตัวพอดีบนลิ้นขณะเด็กดูดนม รวมทั้งจุกนมยังมีลักษณะของคอหรือฐานจุกนมที่แตกต่าง คือมีทั้งแบบคอกว้าง และคอแคบ

จุกนมคอกว้าง คอแคบ ต่างกันอย่างไร?

จุกนมคอกว้าง …ใช้กับขวดนมคอกว้าง

ส่วนใหญ่ใช้กับขวดนมคอกว้างขนาด 4 ออนซ์ สำหรับลูกอายุ 3 – 6 เดือน (ใช้จุกนมไซส์ M) และขนาด 8 ออนซ์ สำหรับลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป  (ใช้จุกนมไซส์ L) แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาทำขนาด 2 ออนซ์(ใช้จุกนมไซส์ S) สำหรับลูกน้อยวัยแรกเกิด -3 เดือนด้วย

ข้อดี :

  • ฐานของจุกนมมีความกว้าง  คล้ายฐาน หรือลานของเต้านมแม่
  • ออกแบบคล้ายนมแม่ ทำให้ลูกใช้วิธีการดูดคล้ายนมแม่  ลูกจึงดูดนมได้อย่างคุ้นเคย
  • ลูกน้อยไม่ต้องกลืนอากาศในขณะดูดนม  ลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือลดอาการโคลิก
  • คอจุกนมที่กว้างและมักมีปลายจุกแบนคล้ายเต้านมแม่ กระตุ้นลูกน้อยดูดนมแม่จากขวดได้ราบรื่น ใช้สลับระหว่างขวดนมกับเต้านมแม่ได้ดี    ลูกน้อยไม่สับสนหรือแตกต่างระหว่างดูดนมแม่กับดูดนมจากขวด  ลูกจึงกินนมแม่ที่ปั๊มไว้ได้ง่าย  และยังสะดวกหากต้องการฝึกให้ลูกเปลี่ยนมากินนมผงเมื่อโตขึ้นด้วย
  • น้ำนมไม่หกหรือเปื้อนง่าย เพราะจุกนมคอกว้างลักษณะนี้ ออกแบบมาให้ลูกน้อยต้องใช้แรงดูดหรือยกขวดนมขึ้น น้ำนมจึงจะไหลออกได้
  • ทำความสะอาดง่ายและทั่วถึง เพราะคอจุกนมกว้าง

ข้อเสีย :

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ต้องใช้คู่กับขวดนมคอกว้างที่มีขนาดขวดที่กว้างและใหญ่ จึงอาจทำให้ลูกถือเองได้ยากและใช้พื้นที่ในการวางหรือเก็บ

จุกนมคอแคบ…ใช้กับขวดนมคอแคบ

จุกนมคอแคบ เป็นจุกที่คุณแม่รู้จักและใช้กันมานาน จะใช้จุกคอแคบนี้กับขวดนมคอแคบซึ่งมักมีอยู่ 3 ขนาด ได้แก่ ใช้จุกนมไซส์ S กับขวดนมขนาด 2 ออนซ์ สำหรับเบบี๋แรกเกิด – 3 เดือน  จุกนมไซส์ M ใช้กับขวดขนาด 4 ออนซ์ สำหรับลูกวัย 3 – 6 เดือน  และจุกนมไซส์ L ใช้กับขวดขนาด 8 ออนซ์ สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป

ข้อดี :

  • ราคาค่อนข้างถูก  หาซื้อง่าย มีขายอยู่ทั่วไป
  • เริ่มมีการออกแบบให้เหมือนนมแม่ โดยบางรุ่นหรือยี่ห้ออาจมีวาล์วหรือระบบลดการกลืนลมเข้า ป้องกันอาการแน่นท้อง ท้องอืดของลูกน้อยได้
  • ลูกดูดนมได้สะดวก  แม้จะนั่ง หรือนอน ก็ดูดนมได้โดยไม่ต้องยกขวดขึ้น

ข้อเสีย :

  • อาจทำให้ลูกดูดลมหรืออากาศเข้าไปได้ง่าย เสี่ยงต่อการแน่นท้อง ท้องอืด และอาการโคลิก (ยกเว้นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันลูกดูดลม)
  • น้ำนมไหลออกได้ง่าย แค่เอียงขวดนม  จึงทำให้นมหกเลอเทอะง่าย
  • อาจทำให้ลูกสับสนระหว่างการดูดนมขวดกับนมแม่ได้ เพราะใช้วิธีการดูดแตกต่างกัน
  • เพราะจุกนมทำให้ดูดนมง่าย จึงอาจทำให้ลูกน้อยติดจุกนม และไม่ยอมดูดนมจากเต้าคุณแม่อีกต่อไป ทำให้ไม่เกิดการดูดเต้านมเพื่อกระตุ้นน้ำนมแม่ให้มาอย่างต่อเนื่องได้
  • จุกนมคอแคบ ทำความสะอาดยาก ล้างอาจไม่ทั่วถึง

เมื่อคุณแม่รู้แล้วว่าบ้านเราควรจะเลือกจุกนมแบบไหน ก็สามารถดูข้อมูลและเลือกซื้อหากันได้เลย  อย่าลืมดูจุกนมที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ใช้วัสดุปลอดสารอันตราย  และเลือกยี่ห้อที่ไว้วางใจได้ เท่านี้ลูกน้อยก็กินนมได้เต็มอิ่มและมีความสุขแน่นอน

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เลือกคาร์ซีทที่ปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องเลือกระบบ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ดีที่สุดด้วย…จริงหรือ? คุณพ่อคุณแม่หลายคนเห็นแบบนี้แล้วคงสงสัยว่าจริงหรือว่า ติดตั้งคาร์ซีท ระบบการติดตั้งไม่เหมือนกัน ความปลอดภัยก็ไม่เหมือนกันด้วย มาทำความรู้จักกับระบบ ติดตั้งคาร์ซีท กันก่อนว่ามีกี่ระบบ และจะเลือกการติดตั้งอย่างไรให้เหมาะกับรถยนต์ที่คุณใช้ค่ะ ISOFIX คืออะไร? ISOFIX เป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบใหม่ที่ได้รับมาตรฐานจากสากล และมีใช้อยู่ทั่วโลกทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งเป็นระบบ ติดตั้งคาร์ซีท สำหรับเด็กที่เพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยได้อย่างมาก โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยเพราะระบบ ติดตั้งคาร์ซีท แบบISOFIX นั้นเป็นการยึดติดคาร์ซีทด้วยตัวยึด ISOFIX ที่มีความแข็งแรง แน่นหนาตามมาตรฐานสากล และระบบ ISOFIX ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการ ติดตั้งคาร์ซีท ให้กับคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย เนื่องจากปกติแล้วการ ติดตั้งคาร์ซีท จะมี 2 ระบบคือ (ที่เขียนรวมให้ย่อหน้านี้เพราะ ถ้าเผื่อพ่อแม่บางคนเป็นคนไม่ชอบอ่านก็จะอ่านตรงนี้แล้วรู้ว่า ISOFIX คืออะไรแล้วมันดียังไงนะคะ…^^) ISOFIX มีประโยชน์อย่างไร? ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบISOFIX ช่วยลดความผิดพลาด เรื่องการเสี่ยงต่อการ ติดตั้งคาร์ซีท ที่ผิดวิธี เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บางท่านอาจสับสน และ ติดตั้งคาร์ซีท ผิดพลาด เช่น ดึงสายเข็มขัดนิรภัยไม่แน่นหนาพอ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดอุบัตเหตุจริง จะทำให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ที่ใช้ ติดตั้งคาร์ซีท นั้นหลุดออก เป็นสาเหตุที่จะทำให้ลูกน้อยเกิดอันตรายได้ จากผลการทดลองเมื่อ ติดตั้งคาร์ซีท ด้วยระบบ ISOFIX จะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ตัวล็อกISOFIX ช่วยยึดติดกับโครงสร้างรถยนต์ได้มั่นคงกว่าจะไม่เกิดการคลาดเคลื่อนจากเบาะรถยนต์ ลดการกระทบกระเทือนกับลูกได้น้อยกว่า ระบบISOFIX ติดตั้งยังไง 1.มาตรวจสอบก่อนว่าที่รถของคุณสามารถ ติตดั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้หรือไม่ โดยการตรวจสอบตามในคลิปด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ 2.เมื่อรู้แล้วว่ารถของคุณ ติดตั้งคาร์ซีท ระบบISOFIX ได้ งั้นก็ลองมาติตดั้งคาร์ซีทกันเลยค่ะ โดยทำตามคลิปวิธีการ ติดตั้งคาร์ซีท จากด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

ตัดเล็บทารก หน้าที่นี้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มักจะแอบเกร็งเลยใช่ไหมคะ เพราะนิ้วลูกยังเล็กมาก เล็บก็ยังอ่อนและเปราะบาง คุณพ่อคุณแม่เลยกลัวว่าจะตัดเล็บเข้าเนื้อทำให้ลูกน้อยเจ็บตัวได้ แต่อย่ากลัวเลยค่ะ เพราะเรามี ”วิธีการตัดเล็บทารก” มาแชร์ให้อ่านกัน วิธีตัดเล็บนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มีความมั่นใจในการตัดเล็บให้ลูกน้อยมากขึ้น ตัดเล็บทารก เรื่องง่าย ๆ ถ้ารู้วิธีที่ถูกต้อง พร้อมอุปกรณ์ที่เหมาะสม ตัดเล็บทารก ควรตัดบ่อยแค่ไหน เล็บมือทารกจะยาวขึ้นวันละ 0.1 มม. ส่วนเล็บเท้าจะยาวช้ากว่า เด็กเล็กจึงควรตัดเล็บมือเฉลี่ย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเล็บเท้า 2-3 ครั้งต่อเดือน ซึ่งช่วงเดือนแรกลูกน้อยเล็บยังนิ่ม แต่ก็สามารถบาดผิวลูกได้ จึงแนะนำให้ใช้การตะไบมากกว่าการตัด แต่หลังจากนั้นเล็บจะแข็งแรงขึ้น สามารถเลือกใช้ตะไบตัดเล็บหรือกรรไกรก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของคุณพ่อคุณแม่ วิธีตัดเล็บทารก ตัดเล็บทารกให้ไม่เข้าเนื้อ ตัดเล็บเข้าเนื้อ อันตรายกว่าที่คิด การตัดเล็บให้ลูกน้อยอย่างไม่เชี่ยวชาญ ใช้อุปกรณ์ตัดเล็บไม่เหมาะสม และไม่ระวังมากพอ อาจทำให้ตัดเข้าเนื้อ เล็บฉีก จนลูกน้อยบาดเจ็บเลือดไหล และอันตรายไปถึงขั้นติดเชื้อได้เลยนะคะ  จากข้อมูลเพจเรื่องเล่าจากโรงหมอ ได้นำเสนอข่าวเด็กวัยสิบเดือนที่ยายตัดเล็บให้ จากนั้นนิ้วโป้งเท้าของเด็กก็เริ่มบวม แดง อักเสบ มีไข้สูง เมื่อพาไปพบคุณหมอก็ได้ข้อวินิจฉัยว่าเด็กนิ้วเท้าอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด คุณหมอจึงขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่นำรูปมาโพสต์เตือนให้พ่อแม่ทุกคนระวังในการตัดเล็บลูกน้อยมากขึ้น เห็นแบบนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกอุปกรณ์ตัดเล็บให้เหมาะกับวัยของลูกและควรตัดอย่างระมัดระวังมากขึ้นนะคะ ที่ตัดเล็บเด็ก ควรใช้แบบไหนให้ปลอดภัย 1. กรรไกรตัดเล็บเด็ก 2. […]

ท้องมาสามเดือนแต่ยังไม่เห็นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ท้องก็ยังไม่ใหญ่ ลูกก็ยังไม่ดิ้น แถมขึ้นบีทีเอสก็ยังไม่มีคนลุกให้นั่งอีกต่างหาก ถ้าคุณแม่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่เดือนที่สี่ ห้าและหกให้ดีๆ เลยจ้า บอกก่อนเลยว่าช่วงไตรมาสนี้ นอกจากอารมณ์คุณแม่ๆ จะแปรปรวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแล้ว เจ้าร่างกายก็น้อยหน้าซะที่ไหน เผลอๆ แปรปรวนหนักกว่าอารมณ์ซะอีก เราลองไปดูกันดีกว่า ว่าช่วงนี้คุณแม่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ลูกได้ดูดนมไปสักพัก หัวนมคุณแม่ก็จะกลับมาเป็นสีชมพูเหมือนเดิม ช่วงก่อนคลอดนี่ร่างกายก็จะเตรียมพร้อมเพื่อลูกน้อย ท่อน้ำนมขยาย ลานนมกว้างขึ้น บางทีอาจจะเห็นน้ำใสๆ ไหลออกมาจากเต้า แต่อย่าได้ไปบีบหัวนมเลยเชียว เพราะอาจจะทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้ ในช่วงไตรมาสนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นเลยอาจจะทำให้เคลื่อนไหวช้าลงนิดหน่อย ช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะต้องการพลังงานแค่ประมาณ 2,200 กิโลแคลอรีเท่านั้น คุณแม่บางคนอาจจะคิดว่าทานสำหรับสองคน ต้องเอาแคลมาบวกกันรึเปล่า…ไม่ต้องนะ เดี๋ยวน้ำหนักคุณแม่จะพุ่งทะลุเป้าเกินไปซะก่อน เราขอเน้นให้คุณแม่เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่นพวกผักใบเขียว ปลาที่มีโอเมกา 3 โปรตีนจากไก่ อะไรพวกนี้ดีกว่า ส่วนพวกอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลายก็ควรจะงดไปก่อนเนอะ เพราะไขมันเยอะมากกกก แถมของทอดๆ ยังอาจจะทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อีกต่างหาก สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าลืมทานยาบำรุงที่คุณหมอให้มา โดยเฉพาะแคลเซียม เพราะลูกจะแย่งแคลเซียมจากเราไปเยอะมากๆ เพราะงั้นควรจะทานเสริมเข้าไปให้ได้อย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวันนะคะ

คาร์ซีท Ailebebe นวัตกรรมสุดล้ำ ปกป้องลูกน้อยได้ดีที่สุด คาร์ซีท เป็นผลิตภัณฑ์จำเป็นสำหรับเด็กชนิดหนึ่ง ที่พ่อแม่ต้องมั่นใจเป็นอย่างมากก่อนการตัดสินใจ ว่าสินค้านี้จะปลอดภัยมากเพียงพอในการปกป้องดูแลลูกน้อยตลอดการเดินทาง แบรนด์ Ailebebe ผู้นำด้านการผลิตคาร์ซีทในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับมาตรฐานระดับอุตสาหกรรมการออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ ได้เข้าใจในเรื่องความปลอดภัยนี้ จนสามารถคิดค้นนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นเอกสิทธิ์หนึ่งเดียวในคาร์ซีท Ailebebe แบรนด์นี้แตกต่างจากคาร์ซีททั่วไปอย่างไร มาทำความรู้จัก คาร์ซีทเอเลเบเบ ไปพร้อม ๆ กันเลย คาร์ซีทเอเลเบเบ คืออะไร Ailebebe (Ai-le-be-be) อ่านว่า เอ-เล-เบ-เบ คือแบรนด์คาร์ซีทที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ออกแบบและผลิตโดยบริษัท Carmate จากเดิมเป็นผู้ออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีความปลอดภัยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2509 จนถึงปัจจุบัน มากว่า 50 ปีแล้ว  และด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ออกแบบเบาะนั่งในรถยนต์สำหรับเด็ก หรือ คาร์ซีท ด้วยการใช้ประสบการณ์ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย รวมถึงคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้คาร์ซีทปลอดภัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “Safety and Comfort ความปลอดภัยที่มาพร้อมกับความสบาย” จนเป็นแบรนด์ Ailebebe คาร์ซีทที่คุณพ่อคุณแม่วางใจใช้มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น  […]

1.เลือกจากประเภทการใช้งานให้เหมาะสมกับสรีระและน้ำหนักของเด็กค่ะโดยทั่วไปรถเข็นจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 2. วัสดุโครงสร้างของรถเข็นเด็กต้องแข็งแรงและที่สำคัญน้ำหนักต้องเบาเพราะว่าบางครั้งคุณแม่อาจจะต้องเดินทางโดยลำพังกับลูกน้อย นอกจากนี้เบาะที่สัมผัสของตัวน้องควรทำจากวัสดุที่นุ่มสบายเพื่อให้เด็กนั่งได้นาน อีกทั้งยังต้องมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนที่ดีเนื่องจากอากาศที่เมืองไทยค่อนข้างร้อนและระบบปรับอุณหภูมิในเด็กเล็กนั้นยังทำงานได้ไม่ดีนักทำให้เด็กจะร้อนและเหงื่อออกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ 3. ล้อต้องเป็นล้อที่สามารถหมุนได้สะดวกและแข็งแรง เพราะจะทำให้การเคลื่อนตัวของรถเข็นคล่องตัวขึ้นแม้ว่าคุณแม่จะต้องเข็นรถในที่ที่แคบ 4. โครงสร้างของผลิตภัณฑ์ต้องออกแบบมาเพื่อรักษาให้ขาและข้อต่อสะโพกอยู่ในรูปทรงตามธรรมชาติโดยประคองขาและข้อต่อสะโพกในอยู่ในรูปทรงตัว“M” ซึ่งเป็นท่าที่จะทำให้ขาและสะโพกของลูกน้อยมั่นคงที่สุดรวมทั้งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกทั้งสองส่วนให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ดีที่สุด 5. มีหลังคาที่สามารถปกป้องลูกน้อยจากแสงแดดและรังสียูวีเพราะผิวหนังของเด็กนั้นยังบอบบางโดยที่บังแดดควรจะปรับได้ตามทิศทางของแสงแดดที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาในแต่ละวัน นอกจากนี้ที่บังแดดยังช่วยบังลมให้ลูกน้อยได้อีกด้วย 6. โครงสร้างของรถเข็นเด็ก ต้องออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบการหายใจในกรณีที่เด็กอาจจะเผลอหลับบนรถเข็น โดยมีเบาะที่จะทำให้ศีรษะเด็กไม่เคลื่อนที่และป้องกันการบิดของลำคอจึงช่วยป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทางเดินหายใจอุดกั้น 7. ข้อสำคัญอีกประการก็คือหากคุณใช้รถเข็นเด็กแรกเกิด ควรจะเลือกประเภทที่สามารถหันที่นั่งรถเอาหาตัวคุณแม่ได้ เนื่องจากเด็กเล็กต้องการความเอาใจใส่จากแม่เป็นพิเศษ เมื่อน้องออกไปข้างนอกเขาต้องการจะมองเห็นคุณแม่เพื่อความอุ่นใจค่ะ แต่ถ้าเป็นเด็กโตแล้ว เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวซึ่งในวัยนี้คุณแม่อาจจะปรับที่นั่งรถเข็นให้มองออกไปข้างนอกได้ค่ะ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างถูกต้อง

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages